คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1031/2567   นาง ธ.                                 โจทก์

         (ประชุมใหญ่)                                             นาย ป.                               จำเลย

ป.วิ.พ. มาตรา 199 จัตวา วรรคสอง

            คำขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่า หากจำเลยให้การต่อสู้คดีอาจทำให้โจทก์
แพ้คดีได้ มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่าคำพิพากษาของศาลไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใด อย่างไร หรือจำเลยมีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้
ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาคดีใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว   หรือจำเลยมีพยานหลักฐานอย่างใดที่จะนำมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์อันจะแสดงให้เห็นว่า
หากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่แล้วตนอาจเป็นฝ่ายชนะ คำขอเช่นนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติ
มาตรา ๑๙๙ จัตวา วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ.

____________________________

 

         คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ณ. และเด็กหญิง ช. บุตรผู้เยาว์ทั้งสอง ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อเดือน นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง
จะบรรลุนิติภาวะหรือจนจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

         จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ฉบับลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๖ อ้างว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องกับคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย ณ ภูมิลำเนา
ตามทะเบียนราษฎรของจำเลย คือ บ้านเลขที่ ๔๐/๑ ซอยนามบัญญัติ แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยไม่ได้พักอาศัยมาเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว เมื่อวันที่
๙ กันยายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ ตามลำดับ โดยโจทก์และจำเลยพักอาศัยอยู่ร่วมกัน
ที่บ้านเช่าเลขที่ ๑๓๔/๑๔ ซอยสุนทรศิริ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยย้ายออกจากบ้านเลขที่ดังกล่าวเมื่อปลายปี ๒๕๖๔ แต่ปัจจุบันจำเลยยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขณะที่โจทก์และจำเลยพักอาศัยอยู่ที่เดียวกัน โจทก์จึงมีเจตนา
ไม่บริสุทธิ์ ไม่ต้องการให้จำเลยทราบว่าถูกฟ้อง อีกทั้งส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง และคำบังคับให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ ๔๐/๑ ดังกล่าว เพื่อจำเลยจะได้ไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี โดยจำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จึงเป็นการส่งหมายเรียก
สำเนาคำฟ้อง และคำบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ จำเลยได้ไปติดต่อธนาคารเพื่อจะโอนเงินให้บุตรสาวเนื่องในโอกาสวันเกิดจึงทราบว่าบัญชีของจำเลยถูกอายัด
โดยสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร ๔ ในคดีหมายเลขแดงที่ พ ๒๘/๒๕๖0 ของศาลชั้นต้น จำเลยจึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องคดีและบังคับคดีตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๕ จำเลยมิได้
จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขอให้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่หรือนัดไต่สวนคำขอให้พิจารณาคดีใหม่
และให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน

         โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

 

 

 

 

         ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

         จำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดกัน
ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ณ. และเด็กหญิง ช. บุตรผู้เยาว์ทั้งสอง แต่เพียงผู้เดียว
และให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะหรือจนจบการศึกษาชั้นปริญญาหรือเทียบเท่า
หรือชั้นสูงสุด จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ณ. และเด็กหญิง ช. บุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียว ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อเดือน นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะหรือจนจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ออกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๕

         คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลย
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ จัตวา วรรคหนึ่ง กำหนดระยะเวลาให้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับหรือนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง หรือพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์
หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่นแล้วแต่กรณีนั้น และตามวรรคสอง บัญญัติว่า “คำขอตามวรรคหนึ่งให้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดยื่นคำให้การและข้อคัดค้านคำตัดสิน
ชี้ขาดของศาลที่แสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่ตนอาจเป็นฝ่ายชนะ และในกรณีที่ยื่น
คำขอล่าช้า ให้แสดงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย” แต่คำขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่า โจทก์ฟ้องคดีในขณะที่โจทก์และจำเลยพักอาศัยอยู่ที่เดียวกันโดยมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ อีกทั้งโจทก์
ส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องและคำบังคับให้แก่จำเลยไปยังที่อยู่ตามภูมิลำเนาที่จำเลยไม่ได้พักอาศัยอยู่เป็นเวลานาน โดยต้องการไม่ให้จำเลยทราบว่าถูกฟ้องคดี เพราะโจทก์ทราบว่าหากโจทก์ฟ้องคดีแล้วจำเลยให้การต่อสู้คดีอาจทำให้โจทก์แพ้คดีได้ ซึ่งต้องแปลความหมายว่าจำเลยจะชนะคดีนั่นเอง
โดยคำขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยบรรยายแต่เพียงเหตุที่ขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง
ในส่วนใด อย่างไร หรือจำเลยมีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณา
คดีใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว หรือจำเลยมีพยานหลักฐานอย่างใดที่จะนำมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์อันจะแสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่
แล้วตนอาจเป็นฝ่ายชนะ คำขอของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๙๙ จัตวา วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอของจำเลยนั้น ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง

 

 

 

 

         พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

(ปารณี มงคลศิริภัทรา – วิชาญ เทพมาลี – เนตรดาว มโนธรรมกิจ)

จตุพร โค้วคาศัย – ย่อ

สัญชัย ภักดีบุตร – ตรวจ