คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1941/2565 นายดวงจันทร์ โคตกะพี้ โจทก์
บริษัทโรงพยาบาลจุฬารัตน์
จำกัด (มหาชน) จำเลย
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง, ๑๑๙ (๔)
การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่จะถือว่าร้ายแรงหรือไม่ หาใช่ถือเด็ดขาดตามที่ข้อบังคับกำหนดให้เป็นเรื่องร้ายแรงทุกกรณีไปไม่ นอกจากจะต้องพิจารณาถึงลักษณะ
และพฤติการณ์การกระทำความผิดเป็นสำคัญแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงลักษณะงานในหน้าที่
ของลูกจ้างประกอบด้วย คดีนี้ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีอาการมึนเมา
ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่จนถูกลูกค้าของจำเลยร้องเรียน อันเป็นการกระทำความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวด ๘ ข้อ ๓.๒.๒ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรจำเลยที่ได้รับ
การรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและการรักษาความปลอดภัยในระดับสากล การที่โจทก์
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลจำเลย ย่อมมีหน้าที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยให้กับโรงพยาบาลจำเลย บุคลากรของโรงพยาบาล ตลอดจนผู้ป่วยหรือผู้เข้ารับบริการ
จากโรงพยาบาลจำเลย แม้ศาลแรงงานภาค ๑ จะฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้ความว่าโจทก์ดื่มสุรา
ในเวลาทำงาน ขณะเกิดเหตุโจทก์มิได้อยู่ในอาการเมาสุราจนถึงขั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่จำเลย หรือก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับบุคคลอื่นก็ตาม แต่การปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการมึนเมาสุรา ย่อมทำให้การปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือผิดพลาดได้โดยง่าย หรือไม่สามารถระวังรักษาความปลอดภัยให้กับโรงพยาบาล บุคลากร รวมทั้งผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลได้สมกับหน้าที่ของตน รวมทั้ง
อาจทำให้โรงพยาบาลของจำเลยซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและการรักษาความปลอดภัย
ในระดับสากลต้องเสียภาพลักษณ์ หรือกระทบต่อความไว้วางใจของผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลจำเลยได้ พฤติการณ์ที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการมึนเมาสุราจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔)
และมาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง ตามลำดับ
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๑๘,๔๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าว
ล่วงหน้า ๑๔,๘๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔,๔๓๗ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ๑๔๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
ของต้นเงินค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๑๘,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลย
จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑,๙๗๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงว่า
จำเลยประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีสาเหตุมาจากการที่โจทก์ดื่มสุราแล้วมีอาการมึนเมาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จนถูกลูกค้าของจำเลยร้องเรียน อันเป็นความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับ
การทำงานของจำเลย หมวด ๘ ข้อ ๓.๒.๒ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรจำเลยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและการรักษาความปลอดภัยในระดับสากล จำเลยจึงมีเหตุอันสมควรเลิกจ้างโจทก์ มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่อย่างไรก็ตาม แม้โจทก์จะมาทำงานโดยมีปริมาณสิ่งมึนเมาในร่างกาย
แต่ไม่ได้ความว่าโจทก์เคยดื่มสุราในเวลาทำงาน และขณะเกิดเหตุโจทก์ก็มิได้อยู่ในอาการเมาสุรา
จนถึงขั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย หรือก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับบุคคลอื่นตามที่จำเลยอ้าง
การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับ
การทำงานอันจะถือเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับแก่โจทก์ แต่การที่โจทก์มีอาการมึนเมาในขณะปฏิบัติหน้าที่ ย่อมถือเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายจ้างชอบที่จะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการมึนเมาเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกับอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
ที่จะถือว่าร้ายแรงหรือไม่ หาใช่ถือเด็ดขาดตามที่ข้อบังคับกำหนดให้เป็นเรื่องร้ายแรงทุกกรณีไปไม่ นอกจากจะต้องพิจารณาถึงลักษณะและพฤติการณ์การกระทำความผิดเป็นสำคัญแล้ว ยังต้องพิจารณา
ถึงลักษณะงานในหน้าที่ของลูกจ้างประกอบด้วย คดีนี้ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีอาการมึนเมาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่จนถูกลูกค้าของจำเลยร้องเรียน อันเป็นการกระทำความผิด
ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวด ๘ ข้อ ๓.๒.๒ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรจำเลย
ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและการรักษาความปลอดภัยในระดับสากล การที่โจทก์
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลจำเลย ย่อมมีหน้าที่สำคัญในการรักษา
ความปลอดภัยให้แก่โรงพยาบาลจำเลย บุคลากรของโรงพยาบาล ตลอดจนผู้ป่วยหรือผู้เข้ารับบริการ
จากโรงพยาบาลจำเลย แม้ศาลแรงงานภาค ๑ จะฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้ความว่าโจทก์ดื่มสุราในเวลาทำงาน ขณะเกิดเหตุโจทก์มิได้อยู่ในอาการเมาสุราจนถึงขั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย หรือก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับบุคคลอื่นก็ตาม แต่การปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการมึนเมาสุรา ย่อมทำให้การปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือผิดพลาดได้โดยง่าย หรือไม่สามารถระวังรักษาความปลอดภัยให้กับโรงพยาบาล บุคลากร รวมทั้งผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลได้สมกับหน้าที่ของตน รวมทั้งอาจทำให้โรงพยาบาลของจำเลย
ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและการรักษาความปลอดภัยในระดับสากล
ต้องเสียภาพลักษณ์ หรือกระทบต่อความไว้วางใจของผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลจำเลยได้ พฤติการณ์
ที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาการมึนเมาสุราจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย
กรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔) และมาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง ตามลำดับ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด.
(ดณยา วีรฤทธิ์ - วิไลวรรณ ชิดเชื้อ - สมเกียรติ คูวัธนไพศาล)
พรรณทิพย์ วัฒนกิจการ - ย่อ
อิสรา วรรณสวาท - ตรวจ