คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 5246 - 5247/2566 นาย ป. โจทก์
บริษัท ด. กับพวก จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา ๕๘๓
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๓) (๔)
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙
เมื่อพยานหลักฐานยังไม่ได้ข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วม
ในการกระทำความผิดกับพนักงานที่อ้างว่าได้ทำทุจริต หรือมีพฤติการณ์อันสามารถบ่งชี้
ให้เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่ดูแลตรวจสอบการทำงาน
ปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำทุจริตต่อนายจ้าง รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่
ของโจทก์เป็นไปด้วยความประมาทจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ดังที่จำเลยที่ ๑ ให้เหตุผล
ในการเลิกจ้าง กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๓)
และ (๔) ที่ให้จำเลยที่ ๑ สามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และเมื่อโจทก์ไม่ได้ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงาน จึงไม่เป็นไปตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ย่อมมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบและเงินผลประโยชน์จากเงินสมทบในส่วนนายจ้างให้แก่โจทก์ ทั้งกรณีดังกล่าวฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำละเมิดอันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อชื่อเสียงจากโจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๑ ค้างค่าจ้างส่วนที่เหลือร้อยละ ๕๐ ในระหว่างที่โจทก์ถูกพักงาน จำเลยที่ ๑ จึงต้องจ่ายค่าจ้างส่วนที่ค้างให้แก่โจทก์
ส่วนกรณีการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้าง และเหตุดังกล่าวเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ การที่จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ
แผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของแผนกได้รับเงินเดือน
เป็นจำนวนสูงเดือนละ ๖๗๘,๙๘๐ บาท และยังได้รับเงินพิเศษเป็นสวัสดิการเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท จึงย่อมเป็นที่คาดหวังของจำเลยที่ ๑ ที่ต้องการให้โจทก์ทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการและพนักงานบริหารโครงการและสาธารณูปโภคทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อมีพนักงานในแผนกกระทำทุจริต แม้จะไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วม
ในการกระทำความผิดทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เป็นการกระทำที่ผิดพลาดอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงมีเหตุให้จำเลยที่ ๑ ไม่อาจไว้วางใจและขาด
ความเชื่อถือในการทำงานของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผล
อันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และเมื่อโจทก์กระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตน
ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ทำให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะให้โจทก์ออกจากงานได้โดยไม่ต้อง
บอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๘๓
______________________________
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ไม่เป็นธรรม ๓๗,๙๐๖,๙๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า
จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าจ้าง ๗๙,๒๑๔.๓๓ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒,๘๖๗,๓๒๑.๒๔ บาท และค่าชดเชย ๔,๓๗๓,๘๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่
วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้ง เรียกค่าเสียหายจากการกระทำผิดของลูกจ้าง ๒ ราย ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ไม่เอาใจใส่ดูแลการปฏิบัติงาน รวมเป็นเงินที่ฟ้องแย้ง ๕๒,๔๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสมทบ ๑,๘๖๒,๘๐๙.๕๗ บาท และผลประโยชน์ของเงินสมทบ ๑๕๐,๔๖๕.๖๒ บาท ในส่วนของนายจ้าง
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ๔,๐๗๓,๘๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่
๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) จนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่
๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามนั้นแต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ค่าชดเชย ๔,๐๗๓,๘๘๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑,๓๑๒,๖๙๕ บาท และค่าจ้าง ๗๙,๒๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของเงินทั้งสามจำนวน นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่า
จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ จ่ายเงินสมทบในส่วนนายจ้าง ๑,๘๖๒,๘๐๙.๕๗ บาท
และผลประโยชน์ของเงินสมทบในส่วนนายจ้าง ๑๕๐,๔๖๕.๖๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) จนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามนั้นแต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นที่
ยุติว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้ว จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐
เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๘ จำเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองกรรมการผู้จัดการแผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภค กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยที่ ๑
มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ แล้ววินิจฉัยว่า แม้จะได้ข้อเท็จจริงว่า
มีพนักงานในแผนกโครงการและสาธารณูปโภคกระทำทุจริต แต่ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดทั้งทางตรงและทางอ้อม
ส่วนพฤติการณ์ว่าโจทก์ทราบแล้วแต่พยายามปกปิดเหตุที่เกิดขึ้นก็ยังมีข้อโต้แย้งจากโจทก์ซึ่งได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่มีเหตุผลและมีน้ำหนักมั่นคงตามสมควรขึ้นต่อสู้จึงรับฟังเป็นยุติไม่ได้ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้มีเหตุทุจริตขึ้น ลำพังว่าโจทก์เป็นผู้บังคับบัญชา
ผู้มีความรู้มีประสบการณ์ในการทำงานควรทราบถึงการกระทำผิดดังกล่าว โดยมิได้นำสืบให้เห็น
ถึงลักษณะวิธีการทำงานหรือขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์โดยละเอียดว่าควรต้องดำเนินการเช่นไร แต่โจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติเพียงพอให้ได้ข้อเท็จจริงว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการทุจริตขึ้นในแผนกจำนวนมากและต่อเนื่องมานาน ทั้งข้อมูลการทุจริตซึ่งจำเลยที่ ๑ ตรวจสอบข้อมูลยังพบว่ามีพนักงานตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่สามารถบ่งชี้เชื่อมโยงให้เชื่อว่าโจทก์ละเลยต่อหน้าที่ ปล่อยปละให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำทุจริต รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่
ด้วยความประมาทอย่างร้ายแรงจนเกิดผลเสียแก่จำเลยที่ ๑ ตามที่อ้าง จึงไม่อาจสรุปได้ว่าเหตุทุจริตทั้งหมดเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์
ด้วยเหตุผลดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่ามีเหตุสมควรเพียงพอ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์
สัญญาจ้างงานมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งนายจ้างตกลงจะจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างที่ทำงาน
ให้ การที่โจทก์เรียกค่าเสียหายจากนายจ้างโดยคิดคำนวณตามเงินค่าตอบแทนทั้งหมดโดยมิได้ทำงานให้แก่จำเลยที่ ๑ ย่อมไม่เป็นธรรมแก่จำเลยที่ ๑ เมื่อพิจารณาจากเหตุผลอันสมควรตามความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายแล้วจึงกำหนดค่าเสียหายเป็นเงิน ๔,๐๗๓,๘๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
เงินที่จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเช่ารถยนต์ ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อเดือน เป็นการจ่ายเพื่อสวัสดิการ หาใช่เงิน
ที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายจ้างตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ ถึงจะจ่ายเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือนก็มิใช่ค่าจ้าง ไม่อาจนับรวมเป็นเงินค่าจ้างโจทก์ได้ จึงฟังว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ ๖๗๘,๙๘๐ บาท เมื่อพยานหลักฐานยังไม่ได้ข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับพนักงานที่อ้างว่า
ได้ทำทุจริต หรือมีพฤติการณ์อันสามารถบ่งชี้ให้เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รับมอบหมาย
ไม่ดูแลตรวจสอบการทำงาน ปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำทุจริตต่อนายจ้างรวมถึง
การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์เป็นไปด้วยความประมาทจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ดังที่จำเลยที่ ๑ ให้เหตุผลในการเลิกจ้างและให้การต่อสู้คดี กรณีจึงยังไม่เข้าข้อยกเว้นตาม (๓) และ (๔) ของมาตรา ๑๑๙
ให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ โจทก์ทำงานติดต่อกันครบสามปีแต่ไม่ครบหกปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๑๘๐ วัน เป็นเงิน ๔,๐๗๓,๘๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันผิดนัด เมื่อสัญญาจ้างระหว่าง
จำเลยที่ ๑ และโจทก์เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน
ที่รับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดร้ายแรงหรือเข้าเหตุตามที่อ้าง จำเลยที่ ๑ ย่อมมีหน้าที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้า เมื่อไม่ปฏิบัติตามต้องจ่ายสินจ้างแทน
การบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ มีกำหนดจ่ายค่าจ้างการทำงานแก่โจทก์ทุกวันสิ้นเดือน
แต่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ให้มีผลวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ เพื่อให้มีผลในงวดการจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป
คือวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๕๘ วัน เป็นเงิน ๑,๓๑๒,๖๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันผิดนัด เมื่อยังไม่ได้ข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จำเลยที่ ๑ จึงต้องจ่ายเงินค่าจ้างส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๕๐ ให้แก่โจทก์ตามที่ถูกพักงานเป็นเวลา ๗ วัน รวมเป็นเงิน ๗๙,๒๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัด จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ ๒ โดยไม่ปรากฏหน้าที่ตามข้อบังคับว่าจำเลยที่ ๑ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือมีหน้าที่ในการกำหนดว่าจะจ่ายเงินสมทบจากกองทุนให้แก่สมาชิก คงมีหน้าที่ในฐานะนายจ้างเพียงการแจ้งสถานะของสมาชิกกองทุนให้คณะกรรมการจำเลยที่ ๒ ทราบเพื่อพิจารณาปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์
จากเงินสมทบในส่วนนายจ้างให้แก่โจทก์ได้ แต่สำหรับจำเลยที่ ๒ เมื่อพิจารณาแล้วยังไม่ได้ข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายจ้างสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยอันเนื่องจากประพฤติผิดวินัยขั้นร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานของนายจ้าง จึงไม่เป็นไปตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ ๒ ข้อ ๔.๔.๑ (จ) และ ๖.๐๒ วรรคท้าย จำเลยที่ ๒ ย่อมมีหน้าที่ต้องจ่าย
เงินสมทบและเงินผลประโยชน์จากเงินสมทบในส่วนนายจ้างให้แก่โจทก์ ตามที่ปรากฏในรายงาน
ส่วนของสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ คิดเป็นเงินสมทบในส่วนนายจ้าง ๑,๘๖๒,๘๐๙.๕๗ บาท และผลประโยชน์ของเงินสมทบในส่วนนายจ้าง ๑๕๐,๔๖๕.๖๒ บาท
พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำละเมิดโดยการปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้นายอุดมและนายฉัตรชัยหรือลูกจ้างอื่นในแผนกกระทำทุจริต
ต่อจำเลยที่ ๑ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์กระทำละเมิดทำให้จำเลยที่ ๑ เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น เป็นเพียง
การบรรยายฟ้องและเบิกความเพียงลอย ๆ ในลักษณะที่ยังไม่เป็นรูปธรรมไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใด
ที่สามารถรับฟังเชื่อถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดความเชื่อถือเชื่อมั่น
จากบุคคลภายนอกดังที่ฟ้องแย้ง ทั้งจำเลยที่ ๑ ไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันถึงความเสียหาย
ที่ได้รับว่าเป็นไปตามที่อ้าง ประกอบกับยังมีข้อโต้แย้งคัดค้านจากโจทก์ว่ามิได้กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ กรณีจึงไม่อาจรับฟังและกำหนดค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๑ ได้ตามฟ้องแย้ง
ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงว่าโจทก์
มีส่วนรู้เห็นในการกระทำทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงว่าโจทก์ควรทราบถึงการกระทำทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการใด ๆ ก็ตาม แต่ก็ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยที่ 1 ข้อ 13 อันเป็นระเบียบข้อบังคับสำคัญของจำเลยที่ 1 โดยเมื่อโจทก์ตรวจพบการกระทำผิดปกติของนายศักรินทร์แล้ว โจทก์กลับไม่แจ้งให้ฝ่ายบริหารระดับสูงหรือฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 1 ทราบเพื่อทำการตรวจสอบต่อไป แต่เลือกใช้วิธีตรวจสอบกันเองทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่านายศักรินทร์ได้กระทำผิดจริงหรือไม่ อันทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายจากการที่อาจจะไม่ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่นายศักรินทร์ นายศักรินทร์เป็นบุคคลที่ให้ข้อเท็จจริงอันสามารถตรวจพบการกระทำทุจริต
ของผู้ใต้บังคับบัญชา หากโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบเพื่อตรวจสอบการกระทำผิดของนายศักรินทร์ จำเลยที่ 1 ย่อมสามารถตรวจพบการกระทำผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ แต่โจทก์ก็ไม่ดำเนินการใด ๆ นอกจากนี้โจทก์เองไม่แจ้งฝ่ายบริหารของจำเลยที่ 1 แต่ดำเนินการตรวจสอบด้วยตนเองแล้ว
โจทก์ก็ไม่สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับการทำผิดปกติของนายศักรินทร์ได้ อันทำให้โจทก์ตรวจไม่พบการกระทำทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้บุคคลที่กระทำทุจริตยังคงกระทำทุจริต
ในองค์กรของจำเลยที่ 1 ต่อไป กรณีดังกล่าวทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
การกระทำของโจทก์จึงเป็นการปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาอันทำให้เกิดการกระทำทุจริตขึ้นภายในองค์กรของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงปฏิบัติหน้าที่โดยประมาททำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรงแล้ว นั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าโจทก์ทราบถึงการทุจริตแล้วไม่มี
การรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับดังที่ระเบียบกำหนด ก็มีข้อโต้แย้งถึงการรับรู้ถึงความมีอยู่ของเอกสารแนวนโยบายและระเบียบทางการเงิน รวมถึงหน้าที่และขั้นตอนการแจ้งเหตุทุจริต ทั้งโจทก์ยังนำสืบว่าได้มีการปรึกษากับฝ่ายไอทีกลางและผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล เมื่อพบความผิดปกติในการปฏิบัติหน้าที่ของนายนายศักรินทร์และพวก ถึงจะยังไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ระเบียบปฏิบัติ
ของจำเลยที่ ๑ กำหนด แต่ก็มีการแจ้งให้ฝ่ายอื่นรับทราบโดยไม่ปรากฏข้อพิรุธในลักษณะว่า
เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนลูกจ้างรายอื่นก็ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจน
ที่ยืนยันได้ว่าโจทก์ทราบเหตุทุจริตแล้วแต่จงใจหลีกเลี่ยงไม่แจ้งเหตุต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบ
โดยมิชอบ แม้จะได้ข้อเท็จจริงว่ามีพนักงานในแผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภคกระทำทุจริต
แต่ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนพฤติการณ์ว่าโจทก์ทราบแล้วแต่พยายามปกปิดเหตุที่เกิดขึ้น
ก็ยังมีข้อโต้แย้งจากโจทก์ซึ่งได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่มีเหตุผลและมีน้ำหนักมั่นคงตามสมควรขึ้นต่อสู้
จึงรับฟังเป็นยุติไม่ได้ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้มีเหตุทุจริต
ขึ้น ลำพังการเบิกความถึงความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนแล้วสรุปว่าโจทก์เป็นผู้บังคับบัญชา
ผู้มีความรู้มีประสบการณ์ในการทำงานควรทราบถึงการกระทำผิดดังกล่าว โดยมิได้นำสืบให้เห็นถึงลักษณะวิธีการทำงานหรือขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์โดยละเอียดว่าควรต้องดำเนินการเช่นไร แต่โจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติเพียงพอให้ได้ข้อเท็จจริงว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการทุจริตขึ้นในแผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภคจำนวนมากและต่อเนื่องมานาน ทั้งข้อมูลการทุจริตซึ่งจำเลยที่ ๑ ตรวจสอบข้อมูลยังพบว่ามีพนักงานตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่สามารถบ่งชี้เชื่อมโยงให้เชื่อว่าโจทก์ละเลยต่อหน้าที่ ปล่อยปละให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
กระทำทุจริต รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทอย่างร้ายแรงจนเกิดผลเสียแก่จำเลยที่ ๑
ตามที่อ้าง จึงไม่อาจสรุปได้ว่าเหตุทุจริตทั้งหมดเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ นั้น เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้มีการปรึกษา
กับฝ่ายไอทีกลางและผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล เมื่อพบความผิดปกติในการปฏิบัติหน้าที่
ของนายศักรินทร์และพวก ซึ่งก็ไม่พบว่านายศักรินทร์กระทำผิด ถึงจะยังไม่เป็นไป
ตามขั้นตอนที่ระเบียบปฏิบัติของจำเลยที่ ๑ กำหนด แต่ก็มีการแจ้งให้ฝ่ายอื่นรับทราบโดยไม่ปรากฏ
ข้อพิรุธในลักษณะว่าเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไว้แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ว่า การที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานยังไม่ได้ข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วม
ในการกระทำความผิดกับพนักงานที่อ้างว่าได้ทำทุจริต หรือมีพฤติการณ์อันสามารถบ่งชี้ให้เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รับมอบหมาย ไม่ดูแลตรวจสอบการทำงาน ปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำทุจริตต่อนายจ้างรวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์เป็นไปด้วยความประมาทจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ดังที่จำเลยที่ ๑ ให้เหตุผลในการเลิกจ้าง กรณีจึงยังไม่เข้าข้อยกเว้น
ตาม (๓) และ (๔) ของมาตรา ๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจึงชอบแล้ว เมื่อยังไม่ได้ข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จำเลยที่ ๑ จึงต้องจ่ายเงินค่าจ้างส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๕๐ ให้แก่โจทก์ตามที่ถูกพักงาน
เป็นเวลา ๗ วัน รวมเป็นเงิน ๗๙,๒๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัด
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลือ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจึงชอบแล้ว ส่วนกรณีการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุ
แห่งการเลิกจ้าง และเหตุดังกล่าวเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการแผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภคซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของแผนกได้รับเงินเดือนเป็นจำนวนสูงเดือนละ ๖๗๘,๙๘๐ บาท และยังได้รับเงินพิเศษเป็นสวัสดิการเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท จึงย่อมเป็นที่คาดหวังของจำเลยที่ ๑ ที่ต้องการให้โจทก์
ทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการและพนักงานในแผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภคทำงาน
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อมีพนักงานในแผนกบริหารโครงการและสาธารณูปโภคที่โจทก์
เป็นผู้บังคับบัญชากระทำทุจริต แม้ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าโจทก์รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทำผิดทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เป็นการกระทำที่ผิดพลาดอันไม่สมควร
แก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงมีเหตุให้จำเลยที่ ๑ ไม่อาจไว้วางใจ
และขาดความเชื่อถือในการทำงานของโจทก์ให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควร มิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และเมื่อโจทก์มีการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ทำให้จำเลยนายจ้างมีสิทธิที่จะให้โจทก์ลูกจ้างออกจากงานได้
โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 583 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยและพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ว่า การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิด
ต่อจำเลยที่ ๑ หรือไม่ และจำเลยที่ ๑ มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อชื่อเสียงหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์มีส่วนรู้เห็นรับรู้รับทราบถึงการกระทำดังกล่าว หรือมีการกระทำ
ที่เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างไร จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำละเมิดโดยการปล่อยปละละเลย
หรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้นายอุดม นายฉัตรชัยหรือลูกจ้างอื่นในแผนกกระทำทุจริตต่อ
จำเลยที่ ๑ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่สามารถรับฟังเชื่อถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดความเชื่อถือเชื่อมั่นจากบุคคลภายนอก ทั้งจำเลยที่ ๑ ไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันถึง
ความเสียหายที่ได้รับว่าเป็นไปตามที่อ้างตามฟ้องแย้ง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยและพิพากษามานั้นชอบแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2
จ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและผลประโยชน์ของเงินสมทบหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อยังไม่ได้ข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายจ้างสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยอันเนื่องจากประพฤติผิดวินัยขั้นร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานของนายจ้าง จึงไม่เป็นไปตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ ๒ ข้อ ๔.๔.๑ (จ) และ ๖.๐๒ วรรคท้าย จำเลยที่ ๒
ย่อมมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบและเงินผลประโยชน์จากเงินสมทบในส่วนนายจ้างให้แก่โจทก์
ตามที่ปรากฏในรายงานส่วนของสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ คิดเป็นเงินสมทบในส่วนนายจ้าง ๑,๘๖๒,๘๐๙.๕๗ บาท และผลประโยชน์ของเงินสมทบในส่วนนายจ้าง ๑๕๐,๔๖๕.๖๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้องที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยและพิพากษามาชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจาก
ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
(สมเกียรติ คูวัธนไพศาล – วิไลวรรณ ชิดเชื้อ – ดณยา วีรฤทธิ์)
อิศเรศ ปราโมช ณ อยุธยา – ย่อ
ประสิทธิ์ ดวงตะวงษ์ – ตรวจ