คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291 - 293/2568                   นาย พ. กับพวก                         โจทก์

                                                                               สหกรณ์การเกษตร ก               จำเลย

พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕

พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 5

          กฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ได้บัญญัติในเรื่องเงินบำเหน็จไว้ ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เมื่อได้ความว่าจำเลย
มีระเบียบข้อบังคับเจ้าหน้าที่ของจำเลย กําหนดสิทธิการได้รับเงินบำเหน็จและหลักเกณฑ์วิธีการ
คิดคํานวณเงินบําเหน็จไว้ จึงนับได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสวัสดิการ
และประโยชน์อื่นของลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทํางาน เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ มีผลผูกพันจําเลยและโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างและลูกจ้างที่ต้องยึดถือและปฏิบัติตามข้อตกลง เมื่อพิจารณาตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าว
โจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ต่อเมื่อทำงานด้วยความเรียบร้อยเป็นเวลาติดต่อกันมา
ไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไป และออกจากงานโดยไม่ได้ถูกลงโทษไล่ออกหรือเลิกจ้างโดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชย แต่จะมีสิทธิได้รับมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ทำงานติดต่อกัน
ย่อมหมายถึงระยะเวลาตามสัญญาจ้างตั้งแต่เริ่มต้นทำงานต่อเนื่องกันจนสัญญาจ้างสิ้นสุด
เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว นิติสัมพันธ์ความเป็นนายจ้างกับลูกจ้างและอายุงานย่อมสิ้นสุด
ลงไปด้วย โจทก์ที่ 1 ทำงานให้แก่จำเลยรวม 3 ช่วงระยะเวลาไม่ต่อเนื่องกัน ไม่ปรากฏว่าจำเลยและโจทก์ที่ ๑ ตกลงให้นำระยะเวลาการทำงานทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จ
แม้จะตกลงว่าจ้างและตกลงทำงานกันอีก หากไม่มีข้อตกลงให้นับอายุงานเดิมรวมเข้ากับอายุงาน
ที่เกิดขึ้นภายหลัง ย่อมไม่อาจนำอายุงานเดิมมานับรวมกับอายุงานตามสัญญาจ้างฉบับใหม่
เพราะอายุงานเดิมได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ดังนั้นการนับระยะเวลาการทำงานติดต่อกัน ต้องนับ
ตามสัญญาจ้างในช่วงที่ 3 เป็นเวลา 7 ปี เท่านั้น และเงินเดือนอัตราสุดท้ายที่มีสิทธิได้รับ
ก่อนออกจากงานเป็นสำคัญ เพื่อใช้เป็นฐานในการจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ 1

          กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตาม พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๕ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๓ ประการ ประการแรก ลูกจ้างและนายจ้างตกลงกันจัดตั้งและจดทะเบียนกองทุนขึ้นเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากนายจ้าง ประการที่สอง จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างตาย ออกจากงาน หรือลาออกจากกองทุน
และประการที่สาม ลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้วตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุนนั้น เมื่อได้ความเพียงว่า จำเลยมีระเบียบข้อบังคับเจ้าหน้าที่
ของจำเลย กำหนดหลักเกณฑ์การได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่านั้น จึงหาใช่กรณีที่ลูกจ้าง
จะมีสิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยง ตาม พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530
มาตรา 5 แต่ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสวัสดิการและประโยชน์อื่นของลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีผลผูกพัน
และใช้บังคับระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ได้ หากจำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามได้
ทั้งจำเลยจะยกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยพลการแต่เพียง
ฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังที่บัญญัติไว้ใน
พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หรือได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเสียก่อน จึงจะมีผลผูกพันบังคับได้ การที่คณะกรรมการของจำเลยประชุมและมีมติยกเลิกหมวดเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในทางลิดรอนสิทธิประโยชน์ของโจทก์ที่ 1
ที่ 3 และที่ 4 ให้ลดน้อยลงจากเดิม ไม่ปรากฏว่าได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์
และวิธีการและไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ได้ให้ความยินยอมกับการแก้ไขด้วย
มติดังกล่าวจึงนำมาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ยังคงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรอง
เลี้ยงชีพตามระเบียบข้อบังคับเจ้าหน้าที่ของจำเลยเช่นเดิม

(พงษ์รัตน์ เครือกลิ่น – จำแลง กุลเจริญ – อนันต์ คงบริรักษ์)

วิลาวัลย์ คำรศ – ย่อ

 สุทจิ์ธิฎา สุทธิพงศ์คณาสัย – ตรวจ

(คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 847 – 849/2565)