คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 4957/2566 นาย ฟ.                                      โจทก์

                                                                                   บริษัท ส.                                  จำเลย

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕22 มาตรา 49

             การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาว่าการเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีสาเหตุ
หรือแม้มีสาเหตุอยู่บ้างแต่ไม่ใช่สาเหตุจำเป็นหรือสมควรถึงขนาดจนถึงกับต้องเลิกจ้าง ดังนั้น ในการพิจารณาว่าจะเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ต้องพิจารณาถึงสาเหตุของการเลิกจ้างเป็นสำคัญ การที่โจทก์ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์รายงานผู้บังคับบัญชาที่อยู่ต่างประเทศให้สอบสวนถึงต้นเหตุ
ของรายจ่ายที่ผู้ใต้บังคับบัญชาขอเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักในต่างประเทศโดยไม่ได้
ขออนุญาตจากโจทก์ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลยเป็นการกระทำโดยสุจริตใจ หากไม่รายงานโจทก์ก็อาจถูกเลิกจ้างได้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการรายงานผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีพฤติการณ์อันน่าสงสัยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยเจตนาที่ไล่โจทก์ออกตั้งแต่ต้น หาใช่กระทำผิดร้ายแรงหรือกระทำ
ไม่เหมาะสมหรือขาดความรับผิดชอบแต่อย่างใด การเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่มีเหตุ
อันสมควร เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอเรียกค่าเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 53,261,820.22 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินที่ฟ้องนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษายกฟ้อง

         โจทก์อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริง
เป็นที่ยุติว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการค้าส่ง นำเข้าเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรม เครื่องซักผ้าใช้ในครัวเรือน เครื่องอบผ้าใช้ในครัวเรือนอุปกรณ์ชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องซักผ้า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยโดยเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 พ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
โดยจำเลยเลิกจ้างวันที่ 7 กันยายน 2564 โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 398,378 บาท ขณะปฏิบัติงานอยู่ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี วันที่ 10 กันยายน 2564 จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชย 2,390,268 บาท ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 398,378 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ลูกจ้างยังไม่ได้ใช้สิทธิจำนวน 7 วัน 92,955 บาท รวมเป็นเงิน 2,881,601 บาท
แล้ววินิจฉัยว่า แม้เบื้องต้นโจทก์อาจเชื่อโดยสุจริตใจว่า นางสาวชลิดาและสามีกระทำทุจริตอันเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย แต่ต่อมาเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความแล้ว กลับได้ความ
ชัดแจ้งว่า นางสาวชลิดาและสามีมิได้กระทำทุจริตดังที่โจทก์กล่าวหา คณะกรรมการสอบสวนที่จำเลยตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนนางสาวชลิดานั้นก็ล้วนแต่เป็นกรรมการที่มีอำนาจในการบริหารกิจการของจำเลยทั้งสิ้น ไม่ปรากฏว่าเพราะเหตุใดคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวต้องเอนเอียงช่วยเหลือนางสาวชลิดาและสามี ยังได้ความต่อไปว่า คณะกรรมการสอบสวนมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่เห็นสมควรให้มีหนังสือตักเตือนการกระทำดังกล่าว ดังนี้โจทก์ต้องยอมรับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและผลการสอบสวน หากแต่เป็นโจทก์เองที่มิยอมรับผลการสอบ และมิยอมรับคำตักเตือนของจำเลย
แม้โจทก์จะมิได้กระทำความผิดร้ายแรง แต่เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว
เป็นสัญญาไม่มีกำหนดระยะเวลา โจทก์หรือจำเลยอาจบอกเลิกสัญญาจ้างกันได้ตลอดเวลา
หากปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานถูกต้องครบถ้วนแล้ว เมื่อจำเลยไม่ประสงค์จ้างโจทก์
ให้ทำงานในตำแหน่งดังกล่าวอีกต่อไป เพราะจำเลยเห็นว่าโจทก์ขาดความรับผิดชอบ ทั้งที่โจทก์
ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายเอเชียแปซิฟิก อันควรมีภาวะการเป็นผู้นำที่ดี ไม่สร้างความแตกแยก
เมื่อจำเลยตั้งกรรมการสอบสวนความผิดของนางสาวชลิดา แต่ไม่พบความผิดแล้วทำหนังสือตักเตือนไปยังโจทก์ โจทก์กลับไม่ยอมรับความผิดทำให้จำเลยไม่อาจไว้วางใจให้โจทก์ปฏิบัติงานกับจำเลยต่อไป
ถือได้ว่าโจทก์กระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นเหตุสมควร
และเป็นธรรมแล้ว ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด เมื่อการเลิกจ้างเป็นธรรมแล้ว และจำเลยจ่ายเงินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแก่โจทก์รับไปตามสิทธิแล้ว ความเสียหายและค่าเสียหายจึงไม่มี ทั้งตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงห้ามโจทก์ไปทำงานให้กับบริษัทที่ประกอบธุรกิจลักษณะเดียวกับจำเลยนั้น เป็นข้อตกลงที่โจทก์รับทราบและสมัครใจทำข้อตกลงดังกล่าวแล้ว
ก่อนเข้าทำงานกับจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายอย่างใด ประกอบกับระยะเวลา
ที่กำหนดห้ามไปทำงานนั้นเพียง 1 ปี ถือเป็นระยะเวลาที่สั้น จึงสามารถกระทำได้ ทั้งมิได้ห้ามทำงาน
กับบริษัทอื่นที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจลักษณะเดียวกับจำเลย โจทก์เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ
โจทก์เรียกค่าเสียหายในการหางานเป็นเวลา 3 ปี โดยใช้เกณฑ์การคำนวณ อาทิ เงินเดือน ค่าเช่าบ้าน รายได้อย่างอื่น ค่าภาษีที่จำเลยออกให้ มิได้มีหลักเกณฑ์ที่แน่ชัด ที่โจทก์อ้างว่าต้องใช้เวลาหางานอีก
2 ปีก็เป็นเรื่องในอนาคต ไม่แน่นอน เป็นการเรียกตามการคาดเดาของโจทก์เอง มิได้มีกฎหมายสนับสนุน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทำผิดสัญญาจ้างอย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพระหว่างจำเลยกับโจทก์และลูกจ้างคนอื่น มีการจดทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพรไว้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะ
นายทะเบียนตามข้อบังคับกองทุนข้อที่ 2.2 ดังนั้น เมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้รับการจดทะเบียนแล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพรย่อมมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลย ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 จำเลยมิได้เป็นผู้มีอำนาจในการจัดการหรืออนุมัติการจ่ายเงิน
ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวแต่อย่างใด การจ่ายเงินของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นอำนาจ
ของคณะกรรมการหรือบริษัทจัดการดังกล่าวโดยเฉพาะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยจ่ายเงินสมทบของนายจ้างให้แก่โจทก์ ส่วนเงินโบนัสนั้น กฎหมายแรงงานไม่ได้บังคับให้นายจ้างต้องจ่ายโบนัสให้แก่ลูกจ้าง เพียงแต่ให้นายจ้างตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมายเท่านั้น การจ่ายโบนัส
แม้จะเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แต่ก็ให้สิทธินายจ้างเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
การจ่าย เมื่อพิจารณาตามสัญญาจ้างแรงงานแล้ว จำเลยแบ่งจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์เป็น 4 งวด โดยได้จ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ไปแล้วในงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ส่วนงวดที่ 3 และงวดที่ 4 นั้น กำหนดเวลา
การจ่ายเมื่อสิ้นเดือนตุลาคม 2564 และสิ้นเดือนมกราคม 2565 ดังนี้เมื่อโจทก์สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2564 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกโบนัสในงวดที่ 3 และงวดที่ 4 จากจำเลย สำหรับสิทธิประโยชน์สำหรับการซื้อหุ้นส่วนบริษัท ระหว่างโจทก์จำเลยนั้นเป็นข้อตกลง
และมีการโต้แย้งสิทธิกันตามเอกเทศสัญญาที่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาจ้าง หรือถือเป็นสภาพการจ้างแต่อย่างใด
สัญญาเกี่ยวกับเรื่องการซื้อหุ้นของจำเลยดังกล่าว จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนกรณีจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยภาษีที่ผิดพลาดจากการคำนวณภาษีของค่าชดเชยการเลิกจ้างให้แก่โจทก์หรือไม่ เนื่องจากจำเลยมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย จากจำนวนเงินค่าชดเชยเพื่อนำส่งเงินแก่กรมสรรพากร
เมื่อจำเลยนำส่งเงินที่หักไว้ต่อกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว จำเลยได้ส่งหนังสือรับรอง
การหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่โจทก์ด้วย หากโจทก์เห็นว่า จำเลยหักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โจทก์ชอบที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) และยื่นขอคืนเงินภาษี
ส่วนที่ถูกหักเกินไปด้วยตนเองตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบแสดงว่าจำเลย
หักค่าชดเชยภาษีผิดพลาด ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างใดและประการใด ต้องรับฟังได้ตามพยานจำเลยว่า จำเลยหักภาษี ณ ที่จ่ายในส่วนของเงินค่าชดเชยไว้ถูกต้องแล้ว ทั้งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 34 แสดงนัยว่า ให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจได้เพื่อกิจธุระอันจำเป็น โดยไม่ได้กำหนดว่านายจ้างจะต้องจัดวันลากิจให้ลูกจ้างกี่วันและจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่แตกต่างจากสิทธิในการลาหยุดพักผ่อนประจำปีที่แม้ลูกจ้างไม่ใช้สิทธิวันลา กฎหมายก็ยังกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินตามสัดส่วนให้แก่ลูกจ้างในปีนั้น ๆ ดังนี้ โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องเงินจำนวนนี้ได้ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากหนังสือเตือนและการเจรจากันระหว่างนายเจฟฟรีย์ นายบ๊อบ กับโจทก์แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีข้อความที่จำเลยใช้ข้อความอันแสดงถึงการข่มขู่ หรือคุกคามโจทก์ เป็นเพียงการเจรจา
ให้โจทก์ในฐานะที่เป็นผู้บริหารระดับสูงสำนึกในหน้าที่ของตนเอง จึงไม่มีค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้อง

         ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับโบนัสในงวดที่ ๓ และงวดที่ ๔ หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง นอกเหนือไปจากที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนด นายจ้างจะจ่ายโบนัสให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ และถ้าจ่ายจะจ่ายด้วยวิธีการ
และหลักเกณฑ์อย่างไร ต้องพิจารณาตามสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับ
สภาพการจ้างแล้วแต่กรณี เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ เมื่อพิจารณาตามสัญญาจ้างแรงงาน หน้าที่ ๒ ข้อที่ ๔.๒.๑ แล้ว มีข้อความในวรรคแรกความว่า “การจ่ายโบนัสถือเป็นดุลยพินิจของบริษัท
และลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับโบนัสก็ต่อเมื่อยังคงมีสถานะเป็นลูกจ้างของบริษัทในขณะที่จ่ายโบนัส” จำเลย
แบ่งจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์เป็น 4 งวด โดยได้จ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ไปแล้วในงวดที่ 1 และงวดที่ 2
ส่วนงวดที่ 3 และงวดที่ 4 นั้น กำหนดเวลาการจ่ายเมื่อสิ้นเดือนตุลาคม 2564 และสิ้นเดือนมกราคม 2565 ดังนี้เมื่อโจทก์สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2564 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกโบนัสในงวดที่ 3 และงวดที่ 4 จากจำเลย ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยมานั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้าง
ที่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาว่า การเลิกจ้างลูกจ้าง
โดยไม่มีสาเหตุหรือแม้มีสาเหตุอยู่บ้างแต่ไม่ใช่สาเหตุจำเป็นหรือสมควรถึงขนาดจนถึงกับต้องเลิกจ้าง ดังนั้นในการพิจารณาว่าการเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่ต้องพิจารณาถึงสาเหตุของการเลิกจ้างเป็นสำคัญ การที่โจทก์ส่งอีเมลแจ้งผู้บังคับบัญชาให้สอบสวนถึงต้นเหตุของรายจ่ายที่นางสาวชลิดาซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่ได้แจ้งและขออนุญาตจากโจทก์ถึงค่าใช้จ่ายการเดินทางและที่พักยังต่างประเทศ
ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลย เนื่องจากนางสาวชลิดาขอให้ชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นจำนวนมากต่อผู้บริหารจำเลย อีกทั้งอีเมลของนางสาวชลิดาก็ขอค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ที่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลและแสดงรายละเอียดโดยใช้เวลานาน ๑๗ วัน เพียงส่งข้อมูลเบื้องต้นเพียงเป็นแผนการเดินทางและใบเสนอราคาเท่านั้น ทั้งแผนดังกล่าวก็เป็นเพียงฉบับร่าง ส่วนใบเสนอราคา
ก็เกินงบประมาณของจำเลย นอกจากนี้ตัวแทนนำเที่ยวไม่ได้ลงทะเบียนกับจำเลย และข้อความนายบ็อบมีถึงโจทก์ก็ระบุว่า ถ้าใครขอเงินค่าทริปจูงใจ การชำระเงินคืน ฯลฯ ต้องมาจากโจทก์หรือนายบ็อบ
อันเป็นเหตุทำให้โจทก์สงสัยและเชื่อโดยสุจริตว่านางสาวชลิดาปฏิบัติไม่ถูกต้องตามแนวปฏิบัติ
ของบริษัทจำเลย และหลักฐานอีเมลของอาร์เธอร์ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔ แสดงให้เห็นว่านางสาวชลิดารู้จักกับตัวแทนนำเที่ยว ดีนะ ดีเนอะ ที่จำเลยเคยใช้บริการมาแล้ว นอกจากนี้ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ แผ่นที่ ๓ แสดงว่าตัวแทนนำเที่ยวดังกล่าวที่จำเลยเคยใช้บริการ ลายมือชื่อในใบแจ้งหนี้
ของ Oasis ๓๖๕ และ ดีนะ ดีเนอะ มีความเหมือนกันเป็นอย่างมาก นางสาวชลิดาก็ไม่เคยรายงาน
ให้โจทก์ทราบว่าเป็นเพื่อนกับตัวแทนนำเที่ยวอันขัดต่อแนวทางปฏิบัติจำเลย นอกจากนั้นตามระเบียบพนักงานจะต้องรายงานทันทีเมื่อมีผลประโยชน์ทับซ้อนและพยายามข้ามขั้นตอนตรวจสอบและอนุมัติ
ในหลักจรรยาบรรณ ทั้งยังกำหนดให้พนักงานทุกคนต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกรรมทางบัญชีทั้งหมดต้องได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารก่อน และต้องมีการอนุมัติที่เหมาะสมทั้งหมดก่อนที่จะทำการยื่นข้อเสนอหรือสัญญา การแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การส่ง
และดำเนินการเอกสารดังกล่าวโดยที่ไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเหมาะสม ย่อมส่งผลให้เกิดการลงโทษ
ทางวินัยขั้นสูงสุด ซึ่งรวมถึงการเลิกจ้าง เห็นได้ชัดว่าโจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องรายงานพฤติการณ์
ของนางสาวชลิดาให้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ที่อยู่ต่างประเทศให้ทราบ หากไม่รายงานโจทก์อาจถูกเลิกจ้างได้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการรายงานผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีพฤติการณ์อันน่าสงสัยดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แสดงว่าจำเลยเจตนาที่จะไล่โจทก์ออกมาตั้งแต่ต้น และภายหลังการสอบสวนฝ่ายบริหาร
ของจำเลยก็เห็นตรงกันว่านางสาวชลิดาเลือกบริษัทนำเที่ยวโดยไม่ได้ขอคำปรึกษาหรือความเห็นชอบจากโจทก์ ต่อมาภายหลังจำเลยเปลี่ยนความเห็นและส่งหนังสือเตือนโจทก์ ทั้งยังให้โจทก์ลงนาม
ในหนังสือดังกล่าวและกล่าวหาว่าโจทก์กล่าวหาผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน ซึ่งการกระทำของโจทก์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นการแจ้งข้อเท็จจริงให้ตรวจสอบตามหน้าที่ของโจทก์ที่ระบุไว้ในหลักจริยธรรมของบริษัท เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทเป็นการกระทำโดยสุจริตใจของโจทก์
ในเบื้องต้นมิได้กระทำผิดร้ายแรงตามที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงมา การกระทำของโจทก์
จึงไม่ใช่กรณีที่โจทก์กระทำประการอื่นอันไม่เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ อีกทั้งการที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในฐานะลูกจ้างของจำเลยดังกล่าวหาใช่เป็นการขาดความรับผิดชอบและยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่จำเลยแต่อย่างใด การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยเหตุผลว่าโจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อในหนังสือเตือนที่กล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ยอมรับผิด จึงไม่ใช่เหตุผลที่สมควรถึงขนาดจนถึงกับต้องเลิกจ้าง ทั้งยังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกรณีร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ซึ่งค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ วางหลักไว้ว่า การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้าง
ผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะเลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้
ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน โดยให้ศาลคำนึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้าง
และเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ประกอบการพิจารณา จากหลักกฎหมายดังกล่าวการที่
จะพิจารณาสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ไม่เป็นธรรม นั้น เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์เพียงขอให้จำเลยชำระค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเท่านั้น มิได้ขอให้จำเลยขอให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานแต่อย่างใด กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ทำการไต่สวนเพื่อกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นธรรมแล้วมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

         พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ เพื่อไต่สวนกำหนดค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒.

 (วรศักดิ์ จันทร์คีรี – พนารัตน์ คิดจิตต์ – ฤทธิรงค์ สมอุดร)

กิตติ  เนตรประเสริฐชัย - ย่อ

ประสิทธิ์ ดวงตะวงษ์ - ตรวจ