คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 3421/2562   นางสีชมพู  จักรวาลอาชาชาติ        โจทก์

                                                                         ธนาคารออมสิน กับพวก              จำเลย

ป.วิ.พ. มาตรา 104 วรรคหนึ่ง

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 

         ระเบียบธนาคารออมสินฉบับที่ 429 ว่าด้วยการจําแนกตําแหน่ง บรรจุ แต่งตั้ง ย้าย
และสับเปลี่ยน เลื่อนตําแหน่ง และอัตราเงินเดือนพนักงานธนาคารออมสิน กําหนดระบบบริหาร
งานบุคคล โดยแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็นกลุ่มตําแหน่ง จํานวน 7 กลุ่มตําแหน่ง
คือ
1.กลุ่มอํานวยการ 2.กลุ่มบริหารระดับสูง 3.กลุ่มบริหารระดับกลาง 4.กลุ่มบริหารระดับต้น
5.กลุ่ม
วิชาการ 6.กลุ่มปฏิบัติการ 7.กลุ่มบริการ แต่ละกลุ่มตําแหน่งจัดระดับตําแหน่งและมีชื่อเรียกตําแหน่งงานจัดไปตามลําดับอาวุโส สําหรับตําแหน่งงานรองผู้อํานวยการฝ่ายจัดอยู่ในกลุ่มตําแหน่งบริหารระดับกลาง ส่วนตําแหน่งงานผู้เชี่ยวชาญจัดอยู่ในกลุ่มตําแหน่งวิชาการ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มตําแหน่งกัน จึงต้องมีการเทียบอาวุโสตําแหน่งงานกัน โดยจําเลยที่ ๑ ออกคําสั่งเรื่องการเทียบตําแหน่งว่า ผู้เชี่ยวชาญเทียบเท่ารองผู้อํานวยการฝ่าย รองผู้อํานวยการธนาคารออมสินภาค ผู้อํานวยการธนาคารออมสินเขต ตามสําเนาคําสั่งธนาคารออมสิน ที่ 55/2548 เรื่องการเทียบตําแหน่งตามโครงสร้างตําแหน่งงาน จึงย่อมเห็นได้ว่า บัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของพนักงานธนาคารออมสินเอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๘9 ที่จัดเรียงลําดับว่า รองผู้อํานวยการฝ่าย
รองผู้อํานวยการธนาคารออมสินภาค ผู้อํานวยการธนาคารออมสินเขต ผู้เชี่ยวชาญ นั้น ไม่ใช่การ
จัดเรียงตามลําดับอาวุโสตําแหน่งงานแต่ประการใด คงเป็นเรื่องการจัดเรียงตําแหน่งงานที่เทียบเท่ากันระหว่างกลุ่มตําแหน่งที่ต่างกันไปตามลําดับในทางเอกสารเท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ 189 มีการจัดลําดับอาวุโสในการบังคับบัญชาไว้ที่แม้ในระดับเดียวกันอัตราค่าจ้างค่าตอบแทนก็ไม่ต่างกัน แต่ลําดับอาวุโสในการบังคับบัญชาต่างกัน จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ขัดต่อพยานหลักฐานในสํานวน ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 104 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ฯ มาตรา 31 

______________________________

         โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเพิกถอนคำสั่งธนาคารออมสินที่ บค.- ๑๐/๒๕๕๘                และที่ บค.๒ (๒) – ๒๗/๒๕๕๘ และแต่งตั้งโจทก์ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๑๑ ภาคขอนแก่น สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ หรือตำแหน่ง
ที่สูงกว่าเดิม กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์

         จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง (ที่ถูก คำสั่งธนาคารออมสิน)            ที่ บค.- ๑๐/๒๕๕๘ และ บค.๒ (๒) – ๒๗/๒๕๕๘ และให้จำเลยทั้งสองแต่งตั้งโจทก์ดำรงตำแหน่ง                รองผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๑๑ ภาคขอนแก่น สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ หรือตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม กับให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหาย ๓๐๐,๐๐๐ บาท                พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

         จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลาง            ฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอำนาจในทางบริหารโยกย้ายพนักงานของจำเลยที่ ๑ ว่า ดำเนินการไปถูกต้อง  ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ อย่างไร แล้วพิพากษาคดีใหม่ตามรูปคดี

         ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่แล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง (ที่ถูก คำสั่งธนาคารออมสิน) ที่ บค.- ๑๐/๒๕๕๘ และ บค.๒ (๒) – ๒๗/๒๕๕๘ และให้จำเลยทั้งสองแต่งตั้งโจทก์ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๑๑ ภาคขอนแก่น สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ นับแต่วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไปหรือตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม ทั้งนี้หากปัจจุบันโจทก์ดำรงตำแหน่งที่สูงกว่ารองผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๑๑ ภาคขอนแก่น สายงานลูกค้าธุรกิจ SME s กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ ให้โจทก์ได้รับสิทธิและสวัสดิการไปตามนั้น
แต่มิให้ต่ำกว่าเดิม ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหาย ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

         จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานตรวจวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ ๑ เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขา ต่อมาโจทก์ได้รับ
การแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่าย ส่วนการตลาดสินเชื่อธุรกิจ SMEs ศูนย์ธุรกิจสินเชื่อ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สายงานการตลาด (รองผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๔ (ต่อมาเป็น SMEs ๑๑) ภาคขอนแก่น สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ) เมื่อวันที่
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้อำนวยการของจำเลยที่ ๑ มีคำสั่งธนาคารออมสินที่
บค.- ๑๐/๒๕๕๘ ย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่าย สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ ประจำสำนักงานใหญ่ และวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งธนาคารออมสิน             ที่ บค.๒ (๒) – ๒๗/๒๕๕๘ ย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ สายงานบริหารทรัพยากรบุคคล                กลุ่มทรัพยากรบุคคล ประจำสำนักงานใหญ่ ช่วยปฏิบัติงาน ณ ธนาคารออมสินภาค ๑๑ ขอนแก่น จำเลยที่ ๑ มีระเบียบธนาคารออมสินฉบับที่ ๔๒๙ ว่าด้วยการจำแนกตำแหน่ง บรรจุ แต่งตั้งย้าย
และสับเปลี่ยน เลื่อนตำแหน่ง และอัตราเงินเดือนพนักงานออมสิน ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๗๑ ถึง ๑๘๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๘๗ ถึง ๒๐๗ และยังคงใช้บังคับอยู่ถึงปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพิจารณาบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของพนักงานธนาคารออมสิน เอกสารหมาย ล๑ หน้า ๑๘๙ จะพบว่า รองผู้อำนวยการฝ่าย รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเขต และผู้เชี่ยวชาญ มีอัตราเงินเดือนขั้นต่ำ ค่ากลาง และเงินเดือนขั้นสูง อยู่ในระดับเดียวกัน อัตราค่าจ้างค่าตอบแทนก็ไม่แตกต่างกัน แต่การมองเพียงตำแหน่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน อัตราค่าจ้างค่าตอบแทนไม่แตกต่างกัน ไม่ใช่สาระสำคัญในการพิจารณาว่าเป็นการลดตำแหน่งแต่อย่างใด เป็นการมองเพียงมิติเดียว และที่สำคัญต้องไม่เป็นการกลั่นแกล้งลูกจ้างด้วย มิฉะนั้นแล้ว
ย่อมถือว่าเป็นการประพฤติผิดสภาพการจ้าง และการใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชาในการย้ายจะต้องตั้งอยู่บนความเป็นธรรมในการบริหารงานบุคคลตามระบบคุณธรรมโดยต้องเป็นการใช้ดุลพินิจ                อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อองค์กรที่จะได้รับการดำเนินการบริการและต้องบำรุงขวัญกำลังใจของพนักงานประกอบกันไปเพราะการย้ายย่อมมีผลกระทบต่อตัวพนักงานผู้ถูกย้ายทั้งในทางที่เป็นประโยชน์คือพนักงานผู้ถูกย้ายพึงพอใจ และในลักษณะที่เข้าใจว่าถูกลงโทษ ถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม การจะพิจารณาว่าการย้ายพนักงานผู้ใดเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีว่ามีมูลเหตุที่แท้จริงประการใดเป็นสำคัญหรือประเด็นหลัก การที่จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งธนาคารออมสินที่ บค.- ๑๐/๒๕๕๘ เรื่อง จัดพนักงานลงหน่วยงาน ตามโครงสร้าง           ที่ปรับปรุงใหม่ให้โจทก์ รองผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๔ ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่าย สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ อันเป็นตำแหน่งที่เทียบเท่ากัน แม้ไม่ได้ลดค่าจ้าง แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาต่างจากตำแหน่งเดิม อันเรียกว่าตำแหน่งลอย และการย้ายโจทก์หาได้เกิดจากโจทก์ขาดคุณสมบัติเฉพาะด้านวิเคราะห์สินเชื่อที่แท้จริงดังเหตุผลข้างต้นไม่ หากแต่เป็นการย้ายเอาบุคคลที่จำเลยทั้งสองต้องการไปทำงานแทนโจทก์และบุคคลอื่น และการที่จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งธนาคารออมสิน ที่ บค.๒ (๒) –๒๗/๒๕๕๘ เรื่อง ย้ายพนักงาน ให้โจทก์ รองผู้อำนวยการฝ่าย สายงานลูกค้าธุรกิจ SMEs กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ ดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ สายงานบริหารทรัพยากรบุคคล กลุ่มทรัพยากรบุคคล หลังจากย้ายครั้งแรกเพียง ๑๕ วัน และตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชา
ให้สั่งงานได้ อันเรียกว่าตำแหน่งลอย ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ๔ ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาให้สั่งงานได้ ทั้งทางปฏิบัติยังให้โจทก์ไปช่วยงานผู้ช่วยผู้จัดการสาขา
อันเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ จึงเป็นการลดตำแหน่งและเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ คำสั่งของจำเลยที่ ๒ ที่สั่งย้ายโจทก์ดังกล่าวมาทั้งสองคำสั่งเป็นการประพฤติผิดสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๒๙ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินกว่าทีควรดังที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อความเป็นธรรมจึงกำหนดให้จำเลยทั้งสอง (ที่ถูก จำเลยที่ ๑) ใช้ค่าเสียหายอันเกิดจาก
การประพฤติผิดข้อตกลงสภาพการจ้างเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ ส่วนจำเลยที่ ๒ กระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อ ๓.๑ ประการแรกว่า ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๘๙ มีการจัดลำดับอาวุโสในการบังคับบัญชาไว้                ที่แม้ในระดับเดียวกัน อัตราค่าจ้างค่าตอบแทนก็ไม่ต่างกัน แต่ลำดับอาวุโสในการบังคับบัญชาก็ต่างกัน เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากระเบียบธนาคารออมสินฉบับที่ ๔๒๙ ว่าด้วยการจำแนกตำแหน่ง บรรจุ แต่งตั้ง ย้ายและสับเปลี่ยน                        เลื่อนตำแหน่ง และอัตราเงินเดือนพนักงานธนาคารออมสิน ตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๗๑
ถึง ๑๘๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๘๗ ถึง ๒๐๗ และยังคงใช้บังคับอยู่ถึงปัจจุบัน ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่า จำเลยที่ ๑ มีระบบบริหารงานบุคคล โดยแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็นกลุ่ม ๆ เรียกว่ากลุ่มตำแหน่ง แต่ละกลุ่มตำแหน่งระบุตำแหน่งงานไว้ และได้จัดระดับความยากง่ายของงานหรือกลุ่มหน้าที่ความรับผิดชอบของงานแต่ละกลุ่มออกเป็นระดับตำแหน่งและมีชื่อเรียกตำแหน่งนั้น ๆ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ แบ่งกลุ่มตำแหน่งออกเป็น ๗ กลุ่ม คือ ๑.กลุ่มอำนวยการ                  ๒.กลุ่มบริหารระดับสูง ๓.กลุ่มบริหารระดับกลาง ๔.กลุ่มบริหารระดับต้น ๕.กลุ่มวิชาการ
๖.กลุ่มปฏิบัติการ ๗.กลุ่มบริการ ซึ่งแต่ละกลุ่มตำแหน่งมีการจัดระดับตำแหน่งและมีชื่อเรียกตำแหน่งงาน               อันเป็นการจัดไปตามลำดับอาวุโส สำหรับตำแหน่งงานรองผู้อำนวยการฝ่ายนั้นจัดอยู่ในกลุ่มตำแหน่งบริหารระดับกลาง ส่วนตำแหน่งงานผู้เชี่ยวชาญจัดอยู่ในกลุ่มตำแหน่งวิชาการ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มตำแหน่งกัน จึงต้องมีการเทียบอาวุโสตำแหน่งงานกัน โดยข้อเท็จจริงยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ออกคำสั่งเรื่องการเทียบตำแหน่งว่า ผู้เชี่ยวชาญเทียบเท่ารองผู้อำนวยการฝ่าย
รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเขตตามสำเนาคำสั่งธนาคารออมสิน ที่ ๕๕/๒๕๔๘ เรื่อง การเทียบตำแหน่งตามโครงสร้างตำแหน่งงาน เอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๖ ดังนั้น ย่อมเห็นได้ว่า บัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของพนักงานธนาคารออมสินตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๘๙ ซึ่งจัดเรียงตามลำดับว่ารองผู้อำนวยการฝ่าย รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเขต ผู้เชี่ยวชาญนั้น ไม่ใช่การจัดเรียงตามลำดับอาวุโสตำแหน่งงานแต่ประการใด คงเป็นเรื่องการจัดเรียงตำแหน่งงานที่เทียบเท่ากันระหว่างกลุ่มตำแหน่งที่ต่างกันไปตามลำดับในทางเอกสารเท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้าที่ ๑๘๙ มีการจัดลำดับอาวุโส
ในการบังคับบัญชาไว้ที่แม้ในระดับเดียวกัน อัตราค่าจ้างค่าตอบแทนก็ไม่ต่างกัน แต่ลำดับอาวุโส
ในการบังคับบัญชาก็ต่างกัน จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษ
ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยในส่วนนี้ของศาลแรงงานกลาง อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้จึงฟังขึ้น

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อ ๓.๒ ประการต่อไปว่า คำสั่งของจำเลยทั้งสองที่สั่งย้ายโจทก์ตามฟ้องนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเคยย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอำนาจในทางบริหารโยกย้ายพนักงานของจำเลยที่ ๑ ว่าดำเนินการไปถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ อย่างไร แต่ปรากฏว่าไม่ได้ความจากการไต่สวนพยานหลักฐานใด ๆ ที่จะส่อให้เห็นถึงพฤติการณ์แห่งคดีอันสามารถเชื่อมโยงแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกลั่นแกล้งโจทก์ได้ นอกจากเป็นกรณีเพียงการใช้อำนาจหน้าที่ตามกรอบของการบริหารจัดการในองค์กรของจำเลยทั้งสองที่เป็นนายจ้างเท่านั้น ดังนั้น คำสั่งของจำเลยทั้งสอง
ที่สั่งย้ายโจทก์ตามฟ้องนั้นจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยและได้พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสองอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

         พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

(ธีระพล  ศรีอุดมขจร – อนุวัตร  ขุนทอง – กนกรดา  ไกรวิชญพงศ์)

วิฑูรย์  ตรีสุนทรรัตน์ - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ