คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 3412/2562 บริษัทโพธิ์กรุณา จํากัด โจทก์
นางศิริญาพร ศิริเมธาวัธน์
ในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน จําเลย
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕, ๑๔๓
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒6, ๕๗
ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในการส่งคําสั่งหรือหนังสือของอธิบดีหรือพนักงานตรวจแรงงานซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ส่ง
ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือพนักงานตรวจแรงงานจะนําไปส่งเองหรือให้เจ้าหน้าที่นําไปส่ง ณ ภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ หรือสํานักงานของนายจ้างในเวลาทําการของนายจ้าง ถ้าไม่พบนายจ้าง
ณ ภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ หรือสํานักงานของนายจ้าง หรือพบนายจ้างแต่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมรับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทํางานในบ้านหรือสํานักงานที่ปรากฏว่า
เป็นของนายจ้างนั้นก็ได้ เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่านายจ้างได้รับคําสั่งหรือหนังสือ
ของอธิบดีหรือพนักงานตรวจแรงงานนั้นแล้ว ดังนั้น การที่พนักงานไปรษณีย์นําคําสั่งของจําเลย
ไปส่งที่ร้านค้าของนาย อ. โดยนาย อ. เป็นผู้รับคําสั่งแทนโจทก์ แต่นาย อ. มิใช่บุคคลที่อยู่หรือทํางานในบ้านหรือสํานักงานของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบคําสั่งของจําเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากนั้นสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาและขอให้ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ ลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โดยมีพนักงานของโจทก์ลงลายมือชื่อรับไว้วันที่
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จึงถือว่าโจทก์ทราบคําสั่งของจําเลยในวันดังกล่าว การที่โจทก์นําคดีมาฟ้องวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จึงยังไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่ทราบคําสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ อย่างไรก็ดี
ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้าง
เป็นฝ่ายนําคดีไปสู่ศาล นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจํานวนที่ถึงกําหนดจ่ายตามคําสั่งนั้น จึงจะฟ้องคดีได้ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าโจทก์ยื่นฟ้องโดยมิได้วางเงินที่ตนต้องชําระตามคําสั่ง
ของจําเลยมาด้วย และในชั้นนี้ระยะเวลาที่ต้องชําระเงินตามคําสั่งของจําเลยดังกล่าวก็ล่วงพ้นมาแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษจึงไม่สามารถสั่งรับคําฟ้องของโจทก์ได้ โดยเมื่อพิเคราะห์
ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีมีความจําเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงเห็นสมควร
ให้ขยายระยะเวลาวางเงินตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ วรรคสาม ออกไป ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖ ประกอบมาตรา ๕๗ โดยเห็นสมควรให้ศาลแรงงานภาค ๕ ดําเนินการกําหนดระยะเวลาวางเงินดังกล่าวแล้วมีคําสั่งต่อไปตามรูปคดี
______________________________
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๒ พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฟ้องคดี ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ อ้างว่า โจทก์ไม่เคยได้รับคำสั่งดังกล่าวตามที่มีการอ้างถึงในหนังสือของพนักงานตรวจแรงงานที่ ชม ๐๐๒๙/๗๗๘ ลงวันที่
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยบุคคลที่รับคำสั่งของจำเลยไว้แทนโจทก์ไม่ใช่พนักงานหรือบุคคลที่พักอาศัยอยู่ ณ ที่ทำการของโจทก์ โจทก์จึงไม่ทราบคำสั่งดังกล่าว และดำเนินการยื่นฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งของจำเลยต่อศาลแรงงานภาค ๕ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งตามที่กฎหมายกำหนดได้ ขอให้
ศาลแรงงานภาค ๕ มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ จำเลยคัดค้าน
ศาลแรงงานภาค ๕ มีคำสั่งว่า การส่งคำสั่งของจำเลยที่ ๑/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๒ เป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จะอ้างว่าไม่ทราบคำสั่งดังกล่าว และมาขอขยายระยะเวลา
ในการฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเกินกว่า ๓๐ วัน ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ วรรคหนึ่ง หาได้ไม่ กรณีจึงยังไม่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ที่จะขยายระยะเวลาตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖ ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริง
เป็นยุติว่า จดหมายทุกฉบับที่ส่งมายังโจทก์ พนักงานไปรษณีย์ นายอำนาจ กรรมการผู้มีอำนาจโจทก์ และนายอมรศักดิ์ เจ้าของร้านค้าที่รับจดหมายแทนโจทก์ ต่างทราบดีว่า หากโจทก์ปิดทำการ
พนักงานไปรษณีย์ต้องไปส่งที่ร้านค้านายอมรศักดิ์ นายอมรศักดิ์เป็นผู้รับจดหมาย ๓ ฉบับ ของพนักงานตรวจแรงงานที่ส่งมายังโจทก์แทนโจทก์ โดยจดหมายฉบับแรกให้โจทก์ไปชี้แจงข้อเท็จจริง ตามเอกสารตามคำสั่งเรียกของศาลแรงงานภาค ๕ แผ่นที่ ๑๑, ๑๒ จดหมายฉบับที่ ๒ เป็นจดหมายเตือนครั้งที่ ๒ ของพนักงานตรวจแรงงาน ตามเอกสารตามคำสั่งเรียกของศาลแรงงานภาค ๕ แผ่นที่ ๑๓, ๑๔
และจดหมายฉบับที่ ๓ คือ คำสั่งของจำเลยที่ ๑/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๒ โดยนายอำนาจเบิกความในชั้นไต่สวนรับว่าเคยเห็นหนังสือของจำเลยที่ให้โจทก์ไปชี้แจงกรณีลูกจ้างไปร้องที่พนักงานตรวจแรงงาน
เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๖๑ จริง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในการส่งคำสั่งหรือหนังสือของอธิบดีหรือพนักงานตรวจแรงงานซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือพนักงานตรวจแรงงานจะนำไปส่งเองหรือให้เจ้าหน้าที่นำไปส่ง
ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสำนักงานของนายจ้างในเวลาทำการของนายจ้าง ถ้าไม่พบนายจ้าง
ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสำนักงานของนายจ้าง หรือพบนายจ้างแต่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมรับ
จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานในบ้านหรือสำนักงานที่ปรากฏว่า เป็นของนายจ้างนั้นก็ได้ เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่านายจ้างได้รับคำสั่งหรือหนังสือของอธิบดี
หรือพนักงานตรวจแรงงานนั้นแล้ว ดังนั้น การที่พนักงานไปรษณีย์นำคำสั่งของจำเลยไปส่งที่ร้านค้า
ของนายอมรศักดิ์ โดยนายอมรศักดิ์เป็นผู้รับคำสั่งแทนโจทก์ แต่นายอมรศักดิ์มิใช่บุคคลที่อยู่หรือทำงานในบ้านหรือสำนักงานของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากนั้นสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่
ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาและขอให้ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ ลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โดยมีพนักงานของโจทก์ลงลายมือชื่อรับไว้วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จึงถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยในวันดังกล่าว การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จึงยังไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่ทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ อย่างไรก็ดี ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาล นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวน
ที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งนั้น จึงจะฟ้องคดีได้ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าโจทก์ยื่นฟ้องโดยมิได้วางเงินที่ตนต้องชำระตามคำสั่งของจำเลยมาด้วย และในชั้นนี้ระยะเวลาที่ต้องชำระเงินตามคำสั่ง
ของจำเลยดังกล่าวก็ล่วงพ้นมาแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงไม่สามารถสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ได้ โดยเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
จึงเห็นสมควรให้ขยายระยะเวลาวางเงินตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕ วรรคสาม ออกไป ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖ ประกอบมาตรา ๕๗ โดยเห็นสมควรให้ศาลแรงงานภาค ๕ ดำเนินการกำหนดระยะเวลาวางเงินดังกล่าวแล้ว
มีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี ที่ศาลแรงงานภาค ๕ มีคำสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลาฟ้องคดีและไม่รับฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกคำสั่งศาลแรงงานภาค ๕ ที่ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาฟ้องคดี
และไม่รับฟ้องโจทก์ ให้ศาลแรงงานภาค ๕ ดำเนินการกำหนดระยะเวลาให้โจทก์วางเงินข้างต้นแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาหรือมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี.
(กนกรดา ไกรวิชญพงศ์ - ธีระพล ศรีอุดมขจร - อนุวัตร ขุนทอง)
ธัชวุทธิ์ พุทธิสมบัติ – ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ