คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2926/2562 นางสิยานุช โดดแช โจทก์
บริษัทเซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 577
เมื่อจําเลยมิได้เป็นตัวแทนจําหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง จ. แล้ว พนักงานของจําเลย
ที่ทําหน้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงหมดหน้าที่ จําเลยจึงเสนอทางเลือกให้พนักงานดังกล่าวแจ้งความประสงค์ว่าจะทํางานกับจําเลยต่อไปตามที่จําเลยจะจัดสรรตําแหน่งงานให้ตามความรู้ความสามารถ หรือประสงค์จะไปทํางานกับบริษัท ป. ตัวแทนจําหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง จ. รายใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ติดตามแบรนด์ และจะต้องยื่นใบลาออกกับจําเลย เมื่อข้อเท็จจริง
ฟังได้ว่า โจทก์ไปสมัครงานกับบริษัท ป. ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ และยื่นใบลาออกกับจําเลยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลในวันที่ 8 สิงหาคม ๒๕๖๐ อันเป็นวันที่โจทก์เริ่มทํางาน
กับนายจ้างใหม่ กรณีจึงมิใช่การโอนย้ายนายจ้างโดยลูกจ้างยินยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 577 หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์สมัครใจไปทํางานกับนายจ้างใหม่ ซึ่งโจทก์มีประสบการณ์การขายสินค้าดังกล่าวเป็นอย่างดี และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจําเลยกับบริษัท ป. เป็นบริษัทในเครือเดียวกันหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกัน จําเลยจึงไม่อาจรู้ถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆรวมถึงการนับอายุงานต่อเนื่อง ทั้งจําเลยยังไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งเรื่องดังกล่าวให้โจทก์ทราบ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องสอบถามกับนายจ้างใหม่เอง นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า พนักงานของจําเลยบางคนที่เคยลาออกและไปทํางานกับบริษัท ป. เช่นเดียวกับโจทก์ ได้กลับเข้ามาทํางานกับจําเลยใหม่ กรณีจึงไม่มีเหตุผลที่จําเลยจะกลั่นแกล้ง
หรือบีบบังคับให้โจทก์ต้องลาออกจากการเป็นพนักงานของจําเลยแล้วไปสมัครงานใหม่กับบริษัท ป. จึงเป็นกรณีที่โจทก์แสดงเจตนาลาออกด้วยความสมัครใจ และถือไม่ได้ว่าจําเลยเลิกจ้างโจทก์
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย ๗๒,๕๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๑,๗๗๐ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๖๐,๔๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน ทั้งนี้ นับแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ อันเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๗๒,๕๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๑,๗๗๐ บาท
และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๖๐,๔๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายทำหน้าที่พนักงานขาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๒,๐๙๕ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกสิ้นเดือน วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ โจทก์และพนักงานหลายคนเขียนใบลาออกยื่นต่อจำเลย วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ โจทก์เขียนใบสมัคร
เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ต่อมาวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ โจทก์ทำสัญญาจ้างกับบริษัทแปซิฟิกา ไลฟ์สไตล์ จำกัด และวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จำเลยรับพนักงานกลับเข้าทำงาน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์หรือไม่เห็นว่า
เมื่อจำเลยมิได้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเครื่องสำอางเจอร์ลีคแล้ว พนักงานของจำเลยที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สินค้าดังกล่าวจำนวน ๓๒ คน จึงหมดหน้าที่ จำเลยจึงเสนอทางเลือก
ให้พนักงานดังกล่าวแจ้งความประสงค์ว่าจะทำงานกับจำเลยต่อไปตามที่จำเลยจะจัดสรรตำแหน่งงาน
ตามความรู้ความสามารถของแต่ละคน หรือประสงค์จะไปทำงานกับบริษัทแปซิฟิกาไลฟ์สไตล์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเครื่องสำอางเจอร์ลีครายใหม่ที่เรียกกันว่าติดตามแบรนด์ โดยจะต้องไปสมัครงานใหม่กับบริษัทแปซิฟิกาไลฟ์สไตล์ จำกัด และต้องยื่นใบลาออกกับจำเลย เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์ไปสมัครงานใหม่กับบริษัทแปซิฟิกาไลฟ์สไตล์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ และได้ยื่นใบลาออกกับจำเลยเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ อันเป็นวันที่โจทก์เริ่มทำงานกับนายจ้างใหม่ การที่โจทก์ไปเป็นลูกจ้างของนายจ้างใหม่จึงมิใช่เป็นการโอนย้ายนายจ้างโดยลูกจ้างยินยอม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๗ หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์สมัครใจจะไปทำงานกับนายจ้างใหม่ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเครื่องสำอางเจอร์ลีค ซึ่งโจทก์มีประสบการณ์คุ้นเคยและมีความรู้เกี่ยวกับการขายสินค้าดังกล่าวเป็นอย่างดี และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับบริษัทแปซิฟิกาไลฟ์สไตล์ จำกัด เป็นบริษัทในเครือเดียวกันหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกัน จำเลย
จึงไม่อาจรู้ได้ถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ รวมถึงการนับอายุงานต่อเนื่องที่ลูกจ้างของจำเลยที่ติดตามแบรนด์
จะได้รับจากบริษัทแปซิฟิกาไลฟ์สไตล์ จำกัด ทั้งจำเลยยังไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งเรื่องดังกล่าวให้โจทก์ทราบ
แต่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องสอบถามกับนายจ้างรายใหม่เอง กรณีจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะกลั่นแกล้งหรือบีบบังคับให้โจทก์ต้องยื่นใบลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยแล้วไปสมัครงานใหม่กับบริษัทแปซิฟิกา
ไลฟ์สไตล์ จำกัด ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย การที่จำเลยให้สิทธิพนักงานของจำเลยที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สินค้าดังกล่าวจำนวน ๓๒ คน เลือกที่จะทำงานกับจำเลยต่อไปในตำแหน่งงานอื่น
หรือประสงค์จะไปทำงานกับตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเครื่องสำอางเจอร์ลีครายใหม่ ซึ่งมีพนักงานของจำเลยถึง ๑๙ คน ที่เลือกจะทำงานกับจำเลยต่อไป โดยจำเลยได้จัดสรรตำแหน่งให้พนักงานดังกล่าว
ได้ทำงานกับจำเลยทุกคน มีพนักงานของจำเลยเพียง ๑๑ คน ที่ประสงค์ติดตามแบรนด์ นอกจากนี้
ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวธนวรรณ ซึ่งเคยเป็นพนักงานของจำเลยและได้ลาออกไปทำงานกับบริษัทแปซิฟิกาไลฟ์สไตล์ จำกัด เช่นเดียวกับโจทก์ ได้กลับเข้ามาทำงานกับจำเลยใหม่เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นชัดว่าจำเลยมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือบีบบังคับให้โจทก์หรือพนักงาน
ที่ประสงค์จะติดตามแบรนด์ต้องยื่นใบลาออก ดังนั้นการที่โจทก์ยื่นใบลาออกกับจำเลยจึงเป็นการแสดงเจตนาลาออกด้วยความสมัครใจ ของโจทก์เอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.
(ดำรงค์ ทรัพยผล – อนันต์ คงบริรักษ์ – สุวรรณา แก้วบุตตา)
ฐานุตร เล็กสุภาพ - ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ