คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 204 - 220/2562  นางเรณู  เพ็ชรรัตน์ กับพวก   โจทก์

                                                                                องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์

                                                                                (ร.ส.พ.) กับพวก               จำเลย

พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543

ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง
ในรัฐวิสาหกิจ
ข้อ 59 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และวรรคสี่

พ.ร.ฎ. จัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 มาตรา 6, 7

         จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจอำนวยบริการแก่รัฐ และประชาชนในการขนส่ง
ทุกชนิด โดยมีการกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าระวาง ค่าบริการและค่าภาระในกิจการต่างๆ
มีค่าตอบแทน จึงเป็นการประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ

         แม้ พ.ร.ฎ. ยุบเลิกองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2549 มาตรา 3 จะบัญญัติ
ให้ยกเลิก พ.ร.ฎ. จัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 ซึ่งมีผลให้จำเลยที่ 1
ถูกยกเลิกไปตามกฎหมายก็ตาม แต่มาตรา 4 บัญญัติให้จำเลยที่ 1 ยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลา
ที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีถือเป็นส่วนหนึ่งของการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เมื่อการชำระบัญชีไม่เสร็จสิ้นจึงถือว่าจำเลยที่ 1 ยังมีสภาพเป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจอยู่

         จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 14 ที่ 16 และที่ 17 ทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 โดยมีการต่อสัญญาจ้างติดต่อกันอีกหลายฉบับเป็นเวลาเกิน 2 ปี ส่วนโจทก์ที่ 1 ที่ 5 และที่ 15 แม้ระยะเวลาการจ้างงานไม่เกิน 2 ปี แต่การที่จำเลยที่ 2
ถึงที่ 8 ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดเพื่อมาทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 โดยมีการทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 14 ที่ 16 และที่ 17 รวมแล้วมีระยะเวลาเกิน 2 ปี
แสดงให้เห็นว่างานชำระบัญชีที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดมาทำมีกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จเกิน 2 ปี ดังนั้น ไม่ว่างานที่ทำนั้นจะเป็นงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจ
หรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงานหรือไม่ ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น
ที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ด ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 59 วรรคหนึ่ง

         การที่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดฟ้องเรียกค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เป็นเพียงการอ้าง
บทกฎหมายคลาดเคลื่อนผิดหลงไป พอถือได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเจ็ดฟ้องเรียกค่าชดเชย ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ แล้ว

         โจทก์ทั้งสิบเจ็ดฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นนายจ้าง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มีหน้าที่ชำระบัญชีจำเลยที่ 1 จึงต้องชำระสะสางการงานของจำเลยที่ 1 ให้เสร็จสิ้นไป กับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของจำเลยที่ 1
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1250 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดในนามจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว

______________________________

         คดีทั้งสิบเจ็ดสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๗ และเรียกจำเลยทั้งสิบเจ็ดสำนวนว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๘

            โจทก์ทั้งสิบเจ็ดสำนวนฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละคน

         จำเลยทั้งแปดทั้งสิบเจ็ดสำนวนให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ ๘ ในฐานะคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 68,985 บาทโจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน 133,619 บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน 125,578 บาท โจทก์ที่ ๔ เป็นเงิน 114,660 บาท โจทก์ที่ ๕ เป็นเงิน 64,800 บาท โจทก์ที่ ๖ เป็นเงิน 64,800 บาท โจทก์ที่ ๗ เป็นเงิน 121,860 บาท โจทก์ที่ 8 เป็นเงิน 71,159 บาท โจทก์ที่ ๙ เป็นเงิน 125,578 บาท โจทก์ที่ 10 เป็นเงิน 111,178 บาท โจทก์ที่ 11 เป็นเงิน 133,619 บาท โจทก์ที่ 12 เป็นเงิน 121,860 บาท โจทก์ที่ 13 เป็นเงิน 121,860 บาท
และ ๒๙,๙๙๘ บาท โจทก์ที่ 14 เป็นเงิน 133,619 บาท โจทก์ที่ 15 เป็นเงิน 52,380 บาท โจทก์ที่ 16 เป็นเงิน 57,330 บาท และโจทก์ที่ 17 เป็นเงิน 44,010 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีสำหรับโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 14 ที่ 15 และที่ 17 เป็นเวลา 5 ปี และนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่
24 พฤศจิกายน 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับโจทก์ที่ 13 ต้นเงิน 121,860 บาท
เป็นเวลา 5 ปี และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับต้นเงิน 29,998 บาท นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 17
มิให้เกินไปกว่า 51,738 บาท 100,214 บาท 94,183 บาท 85,995 บาท 48,600 บาท 48,800 บาท 91,395 บาท 53,369 บาท 94,183 บาท 83,383 บาท 100,214 บาท 91,395 บาท 97,019 บาท 100,214 บาท 39,285 บาท 42,997 บาท และ 33,007 บาท ตามลำดับ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่จำต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว

         จำเลยทั้งแปดทั้งสิบเจ็ดสำนวนอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 ต่อมารัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกายุบเลิกองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2549 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 แต่จำเลยที่ 1              ยังคงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นกรรมการผู้ชำระบัญชี            ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ ๘ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1            ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานโดยมีระยะเวลาจ้าง ค่าจ้างอัตราสุดท้าย       ตามสัญญาจ้างของโจทก์รวม 17 ราย ที่อยู่ท้ายบันทึกถ้อยคำแทนการซักถามพยานของจำเลยที่ 8         ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โจทก์ที่ 1 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่
30 พฤศจิกายน 2550 รวม 1 ปี 10 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 22,995 บาท โจทก์ที่ 2 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 รวม 3 ปี 1 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้าย เดือนละ 22,270 บาท โจทก์ที่ 3 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2552 รวม 3 ปี 3 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,930 บาท โจทก์ที่ 4 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2554 รวม 5 ปี 9 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 19,110 บาท โจทก์ที่ 5 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2551 รวม 2 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 21,600 บาท โจทก์ที่ ๖ ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 รวม 2 ปี 5 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 21,600 บาท โจทก์ที่ 7 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2554 รวม 5 ปี 9 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,310 บาท โจทก์ที่ 8 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 รวม 2 ปี 4 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 23,720 บาท โจทก์ที่ 9 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 รวม 3 ปี 1 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,930 บาท โจทก์ที่ 10 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2554 รวม 5 ปี ๙ เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 18,530 บาท โจทก์ที่ 11 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 รวม 3 ปี 1 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 22,270 บาท โจทก์ที่ 12 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2552 รวม 3 ปี 2 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,310 บาท โจทก์ที่ 13 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2554 รวม 5 ปี 9 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,310 บาท และระยะเวลาการจ้างใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ รวม ๔ ปี ๘ เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑๔ ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ 2549
ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 รวม 3 ปี 1 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 22,270 บาท โจทก์ที่ 15 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2551 รวม 2 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,460 บาท โจทก์ที่ 16 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 รวม 2 ปี ๕ เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 19,110 บาท โจทก์ที่ 17 ระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2551 รวม 2 ปี 7 เดือน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,670 บาท แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งแปดทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 2
ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 14 ที่ 16 และที่ 17 ช่วยทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่
1 กุมภาพันธ์ 2549 และมีการทำสัญญาจ้างติดต่อกันอีกนับสิบฉบับโดยมีระยะเวลาจ้างงานติดต่อกันเกิน 2 ปี การชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่จ้างให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 14 ที่ 16 และที่ 17
ทำมีเวลาแล้วเสร็จเกินกว่า 2 ปี ดังนั้นไม่ว่างานที่ทำนั้นจะเป็นงานในโครงการเฉพาะที่ไม่ใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือในงาน
มีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงานหรือไม่ก็ไม่ต้องด้วยข้อย้กเว้น
ที่นายจ้างจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 14 ที่ 16 และที่ 17 จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 59 วรรคหนึ่ง สำหรับโจทก์ที่ 1 ที่ 5 และที่ 15 แม้จะมีระยะเวลาการจ้างงานติดต่อกันไม่เกิน 2 ปี แต่ได้ความว่าโจทก์ที่ 1 ปฏิบัติงานในหน้าที่ดูแลการรับ – จ่ายเงิน โจทก์ที่ 5 ปฏิบัติงานในหน้าที่ตรวจสอบเอกสารบัญชี โจทก์ที่ 15 ปฏิบัติงานในหน้าที่คณะกรรมการ
ผู้ประสานงานและดำเนินการส่งมอบทรัพย์สินของสำนักการช่างให้แก่ผู้รับชำระบัญชี มีหน้าที่ไม่เหมือนกัน การต่อสัญญาจ้างในแต่ละครั้งไม่สามารถกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของงานที่ทำได้ เพื่อความสะดวก
ในการบริหารงานจึงกำหนดระยะเวลาการจ้าง 3 เดือน และมีการต่อสัญญาจ้างคราวละ 3 เดือน
ขึ้นอยู่กับความต้องการของการชำระบัญชี ซึ่งอาจมีต่อไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดความจำเป็น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 ที่ ๕ และที่ 15 ไม่ใช่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น อีกทั้งโจทก์ทั้งสิบเจ็ดยังคงทำงานในลักษณะเดิมตามที่เคยได้รับมอบหมาย
จึงไม่ใช่โครงการเฉพาะแต่เป็นงานปกติของจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้มีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรืองานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงาน หรือในงาน
ที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น จึงไม่ใช่ข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่เลิกจ้าง โจทก์ที่ 1 ที่ ๕ และที่ 15 จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากนายจ้าง
ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง
ในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๕๙ วรรคหนึ่ง ดังนั้น จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ในฐานะคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นลูกจ้าง โดยนับอายุงานตั้งแต่เริ่มต้นสัญญาจ้างฉบับแรกจนสิ้นสุดสัญญาจ้างของโจทก์ทั้งสิบเจ็ด

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งแปดมีว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งแปดให้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้า
และพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2496 มาตรา 6 และมาตรา 7 จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจอำนวยบริการแก่รัฐ และประชาชนในการขนส่งทุกชนิดโดยมีการกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าระวาง ค่าบริการและค่าภาระในกิจการต่าง ๆ มีค่าตอบแทน จึงเป็นการประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ในฐานะผู้ชำระบัญชีซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดช่วยทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่จัดตั้งขึ้น
ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุพัณฑ์ พ.ศ. 2496 และต่อมามีพระราชกฤษฎีกา
ยุบเลิกองค์การดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวในมาตรา 4 กำหนดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกยุบไปตามมาตรา 3 ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีถือเป็นส่วนหนึ่งของการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เมื่อการชำระบัญชีไม่เสร็จสิ้นจึงถือว่าจำเลยที่ 1 ยังมีสภาพเป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจอยู่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 สัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดจึงผูกพันจำเลยที่ 1 สัญญาจ้างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 14 ที่ 16 และที่ 1๗ ทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 และมีการทำสัญญาจ้างติดต่อกันอีกหลายฉบับเป็นเวลาเกิน 2 ปี ส่วนโจทก์ที่ ๑ ที่ ๕ และที่ ๑๕ แม้ระยะเวลาการจ้างงาน
ไม่เกิน ๒ ปี แต่การที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด เพื่อมาทำงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ โดยมีการทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ ๖ ถึงที่ ๑๔  ที่ ๑๖ และที่ ๑๗
รวมแล้วมีระยะเวลาเกิน ๒ ปี แสดงให้เห็นว่างานชำระบัญชีที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ จ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด
มาทำมีกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จเกิน ๒ ปี ดังนั้น ไม่ว่างานที่ทำนั้นจะเป็นงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงานหรือไม่ ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น
ที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อมีการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดทำงานเป็นลูกจ้าง จากนั้นมีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2549 จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด ต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มีมติคณะกรรมการ
ผู้ชำระบัญชีให้จ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดเพื่อช่วยปฏิบัติงานในการชำระบัญชี และทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ดเรื่อยมาเพื่อช่วยปฏิบัติงานในการชำระบัญชีจนเสร็จสิ้นซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการชำระบัญชี เมื่อเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเจ็ด และไม่อยู่ในข้อยกเว้นให้รัฐวิสาหกิจไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานซึ่งเป็นลูกจ้าง อีกทั้งตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสากิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง
ในรัฐวิสากิจ ข้อ 59 วรรคหนึ่ง กำหนดให้จ่ายค่าชดเชย จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ด แม้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดจะฟ้องเรียกค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นการคลาดเคลื่อนผิดหลงไป แต่ก็พอถือได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเจ็ดฟ้องเรียกค่าชดเชยตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจแล้ว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย ส่วนที่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มีหน้าที่ชำระบัญชีจำเลยที่ 1 จึงต้องชำระสะสางการงานของจำเลยที่ 1 ให้เสร็จสิ้นไป กับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1250 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดในนามจำเลยที่ 1
แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งแปดฟังไม่ขึ้น

         พิพากษายืน.

(เริงศักดิ์  วิริยะชัยวงศ์ – นาวี  สกุลวงศ์ธนา – นงนภา  จันทรศักดิ์  ลิ่มไพบูลย์)

อิศเรศ  ปราโมช ณ อยุธยา – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ