คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 171/2562     บริษัทไทยนิชชิน  โมลด์ จำกัด        โจทก์

                                                                         สำนักงานประกันสังคม               จำเลย

 

พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕33 มาตรา 5

 

          ลูกจ้างของโจทก์ที่มีสิทธิได้รับเงินค่ากะกลางคืนต้องทำงานในช่วงกะกลางคืน หากลูกจ้างมิได้ทำงานในช่วงกะกลางคืนก็จะไม่ได้รับเงินดังกล่าว การทำงานกะกลางคืนในลักษณะนี้เป็นการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน แม้เงินค่ากะโจทก์จะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายไว้ในประกาศว่าเป็นสวัสดิการก็ตาม แต่นอกจากจะมิได้ระบุว่าเป็นเงินประเภทอื่นที่ไม่ใช่ค่าจ้างแล้ว ยังเป็นการจ่ายให้แก่ลูกจ้างเฉพาะที่เข้าทำงานกะกลางคืนตามที่โจทก์กำหนดโดยมีการกำหนดอัตราไว้แน่นอน จึงมีลักษณะเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันเวลาทำงานปกติ อันเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 5

          หนังสือแจ้งผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างประจำปี 2558 ซึ่งจำเลยส่งไปยังโจทก์ระบุว่า หากท่านไม่เห็นด้วยกับผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างดังกล่าว ขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมพร้อมนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อประกอบการปรับปรุงผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้าง เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งทางปกครองที่อาจกระทบสิทธิโจทก์หรือเป็นการยืนยันคำสั่งทางปกครองอันจำเลยต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

______________________________

 

         โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาอุทัย
ที่ อย ๐๐๓๐.๑/๑๕๗๒ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ที่ ๒๐๕/๒๕๖๐ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ที่ ๑๖๕๖/๒๕๖๐

         จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษายกฟ้อง

         โจทก์อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกัน
และศาลแรงงานภาค ๑ รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนพลาสติก มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่ากะนอกเหนือจากค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ๒๕ บาท ต่อกะต่อวัน โดยจ่ายให้เฉพาะลูกจ้างที่เข้าทำงานกะกลางคืนเท่านั้น ตามประกาศสวัสดิการค่ากะ และมีหน้าที่ชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาอุทัย มีคำสั่งให้โจทก์ชำระเงินสมทบเพิ่ม ๙๓,๐๖๔ บาท พร้อมเงินเพิ่มตามกฎหมายร้อยละ ๒ ต่อเดือน เนื่องจากเงินค่ากะไม่ได้ถูกนำมาคำนวณ ตามหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างประจำปี ๒๕๕๘ ซึ่งก่อนออกคำสั่ง จำเลยได้ตรวจสอบเฉพาะจากบัญชีค่าจ้างประจำปีและมีหนังสือขอเอกสารเพิ่มเติมจากโจทก์เท่านั้น โจทก์อุทธรณ์
ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และ พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ต่อมาคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและคณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยเห็นว่า เงินค่ากะเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณเงินสมทบ และโจทก์ต้องนำส่งเงินสมทบเพิ่มเติมต่อกองทุนประกันสังคม ระหว่างพิจารณาโจทก์ท้วงว่า ยอดเงินที่จำเลยใช้ในการคำนวณเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มีเงินที่โจทก์
จ่ายให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในกรณีลาออกรวมอยู่ด้วย และจำเลยได้จัดทำบัญชีเรียกเก็บ
เงินสมทบกองทุนประกันสังคมประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ใหม่ เป็นผลให้เงินสมทบกองทุนประกันสังคมลดลง ๒,๗๐๐ บาท คงเหลือเงินสมทบเพิ่มในส่วนเงินค่ากะ ๙๐,๓๖๔ บาท แล้ววินิจฉัยว่า ตามประกาศสวัสดิการค่ากะมีลักษณะการจ่ายสัมพันธ์กับเวลาการทำงานและสภาพการทำงานตามปกติของลูกจ้าง หากลูกจ้างมิได้ทำงานในช่วงกะกลางคืนก็จะไม่ได้รับเงินค่ากะ เงินค่ากะจึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ถือเป็นค่าจ้างที่โจทก์จะต้องนำส่งเงินสมทบต่อกองทุนประกันสังคม และการที่จำเลยออกคำสั่งโดยตรวจสอบจากบัญชีค่าจ้างประจำปีและมีหนังสือขอเอกสารเพิ่มเติมจากโจทก์ กับแจ้งผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างประจำปี ๒๕๕๘ ระบุเหตุผลว่าเงินค่ากะเป็นค่าจ้าง โดยมิได้ถูกนำมาคำนวณเพื่อชำระเงินสมทบ ถือว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยเพียงพอและชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยตามฟ้อง แต่ให้แก้ไขจำนวนเงินที่โจทก์ต้องชำระเงินสมทบเพิ่มเติมเป็น ๙๐,๓๖๔ บาท พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อเดือน

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการแรกว่า เงินค่ากะที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างนั้นเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า การทำงานตอนกลางคืนในลักษณะดังกล่าวเป็นการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน แม้เงินค่ากะโจทก์จะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายไว้ในประกาศว่าเป็นสวัสดิการก็ตาม แต่นอกจากจะมิได้ระบุว่าเป็นเงินประเภทอื่นที่ไม่ใช่ค่าจ้างแล้ว ยังเป็นการจ่ายให้แก่ลูกจ้างเฉพาะที่เข้าทำงานกะกลางคืนตามที่โจทก์กำหนด โดยมีการกำหนดอัตราไว้แน่นอน จึงมีลักษณะเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันเวลาทำงานปกติ อันเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๕ หาใช่เงินสวัสดิการตามอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ประการต่อมาว่า จำเลยออกคำสั่งโดยมิได้ให้โอกาสโจทก์ชี้แจงข้อเท็จจริง และไม่ได้เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมทำให้ข้อเท็จจริงไม่อาจบ่งบอกได้ว่าค่ากะเป็นค่าจ้างหรือไม่ เป็นการไม่ชอบ
ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๗ นั้น เห็นว่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นไปตามที่โจทก์อุทธรณ์หรือไม่ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางโจทก์มีโอกาส
นำพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องนำเสนอต่อศาลตามความประสงค์แล้ว ซึ่งศาลแรงงานกลางได้รับฟังพยานหลักฐานจากทุกฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่าเงินค่ากะที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้าง ถือเป็นค่าจ้าง ซึ่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อันมีผลให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลย อุทธรณ์ประการนี้ของโจทก์จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางได้ ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงาน
และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยให้

         พิพากษายืน.

(สาโรช  ทาสวัสดิ์ – สุชาติ  ตระกูลเกษมสุข – ดาราวรรณ  ใจคำป้อ)

 

กรรณิกา  อัศวเมธา­­ - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ