อุทธรณ์ที่ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

 

หมายเลขคดีดำที่ ร.392/2560                      นายอัลบาล อีฟ หลุยส์ วอลเล้นท์                      โจทก์

หมายเลขคดีแดงที่ 765/2560                       บริษัททเวนตี้โฟร์ ภูเก็ต จำกัด                            จำเลย

 

ป.พ.พ. มาตรา 583

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4)

 

          แม้จำเลยจะสั่งให้โจทก์ทำเครื่องสูบควันบารากู่ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิตะโกนเสียงดัง พูดคำหยาบ และตะคอกใส่ผู้บังคับบัญชา อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งออกโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม โจทก์ชอบที่จะทำได้แต่เพียงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าว จำเลยย่อมมีสิทธิตักเตือนเป็นหนังสือได้ ซึ่งปรากฏว่าหนังสือเตือนมีรายละเอียดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ชัดแจ้ง โจทก์สามารถเข้าใจได้ ทั้งมีการตักเตือนมิให้ฝ่าฝืนข้อบังคับเช่นนั้นอีกมิฉะนั้นจะถูกเลิกจ้าง จึงเป็นหนังสือเตือนตามกฎหมายและเป็นหนังสือเตือนที่เป็นธรรมแล้ว หาใช่ไม่เป็นธรรมดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ เมื่อโจทก์กระทำผิดซ้ำอีกด้วยการตะโกน ตะคอก และใช้คำหยาบต่อผู้บังคับบัญชา จึงเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนตามหนังสือเตือน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) และการกระทำของโจทก์เป็นการละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายเป็นอาจิณ จำเลยผู้เป็นนายจ้างชอบที่จะเลิกจ้างได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือชดใช้สินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 ประกอบ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคท้าย

______________________________

 

          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 65,000 บาท และค่าชดเชย 390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 455,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำงานแก่โจทก์ และคืนเงินที่หักเป็นค่ารักษาพยาบาลพร้อมยกเลิกสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว

          จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 237,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย

          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

          ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานภาค 8 เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัย

          อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเห็นว่า เฉพาะกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่หักเป็นค่ารักษาพยาบาลพร้อมยกเลิกสัญญากู้ยืมเงิน และที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ยืม เป็นการตั้งรูปคดีเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 9 ยืม มิได้เกี่ยวเนื่องกับสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีพิพาทอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8

          ศาลแรงงานภาค 8 พิพากษาให้จำเลยออกหนังสือสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2553 ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค แสง สี เสียง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 65,000 บาท ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2558 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ อ้างว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ตะโกนเสียงดัง ตะคอกใส่ผู้บังคับบัญชาในสำนักงาน และพูดคำหยาบ โดยโจทก์ได้รับหนังสือเตือนแล้ว 3 ครั้ง แล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์ตะคอกใส่นายสตีฟ โคมี ผู้จัดการทั่วไปของจำเลย เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ตามกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน บทที่ 8 ข้อ 22 ซึ่งระบุว่า กล่าวคำหยาบหรือมีปัญหากับพนักงานอื่นทางกายและวาจา โดยเจตนาให้แตกร้าว ส่อเสียด ยุยง แล้วโจทก์กลับกระทำผิดซ้ำอีกด้วยการตะโกน ตะคอก และใช้คำหยาบต่อนายสตีฟ เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมซึ่งนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ เมื่อจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยระบุเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือเลิกจ้างครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ทั้งการที่โจทก์จงใจขัดคำสั่งนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ จำเลยจึงเลิกจ้างโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 แต่จำเลยต้องออกหนังสือสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 585

          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมซึ่งนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 8 หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า หนังสือเตือนเป็นหนังสือเตือนที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เนื่องจากสาเหตุที่โจทก์ตะโกนใส่ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานเพราะนายจ้างสั่งให้โจทก์ผลิตเครื่องสูบควันบารากู่เพื่อขายหรือให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีเจตนาฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการใช้คำหยาบต่อนายจ้างแต่อย่างใด จำเลยไม่อาจนำเหตุตามหนังสือเตือน มาบอกเลิกจ้างโจทก์ได้ เห็นว่า แม้จำเลยจะสั่งให้โจทก์ทำเครื่องสูบควันบารากู่ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิตะโกนเสียงดัง พูดคำหยาบ และตะคอกใส่ผู้บังคับบัญชา อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ตามกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งออกโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม โจทก์ชอบที่จะทำได้แต่เพียงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าว จำเลยย่อมมีสิทธิตักเตือนเป็นหนังสือได้ ซึ่งปรากฏว่าหนังสือเตือน มีรายละเอียดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ชัดแจ้ง โจทก์สามารถเข้าใจได้ ทั้งมีการตักเตือนมิให้ฝ่าฝืนข้อบังคับเช่นนั้นอีกมิฉะนั้นจะถูกเลิกจ้าง จึงเป็นหนังสือเตือนตามกฎหมายและเป็นหนังสือเตือนที่เป็นธรรมแล้ว หาใช่ไม่เป็นธรรมดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ เมื่อโจทก์กระทำผิดซ้ำอีกด้วยการตะโกน ตะคอก และใช้คำหยาบต่อผู้บังคับบัญชา จึงเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) และการกระทำของโจทก์เป็นการละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายเป็นอาจิณ จำเลยผู้เป็นนายจ้างชอบที่จะเลิกจ้างได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ประกอบพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคท้าย ด้วยเช่นกัน ที่ศาลแรงงานภาค 8 วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน.

 

(อนันต์  คงบริรักษ์ - สุวรรณา  แก้วบุตตา - ดำรง  ทรัพยผล)

 

ศาลแรงงานภาค 8        นายสฤษดิ์  พิพัฒน์วิไลกุล

 

นายเดชวิบุล  พนาเศรษฐเนตร            ผู้ช่วยฯ/ย่อสั้น

นายสุโรจน์  จันทรพิทักษ์                   ผู้พิพากษาฯ ประจำกองผู้ช่วยฯ/ตรวจย่อสั้น/ตรวจย่อยาว

นางสาวนิติรัตน์  ศิระภัสร์บารมี            นิติกร/ย่อยาว

นางสาวมนัสนันท์  อิ่มใจ                   พิมพ์