อุทธรณ์ที่ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
หมายเลขคดีดำที่ ร.354/2560 นางลักษณา แก่นจันทร์ โจทก์
หมายเลขคดีแดงที่ 764/2560 สหกรณ์การเกษตรบุณฑริก จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 57
ศาลแรงงานภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประพฤติปฏิบัติผิดข้อตกลง และได้รับหนังสือเตือนหลายครั้ง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของโจทก์ตามที่ถูกสมาชิกร้องเรียนเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นการกระทำผิดข้อตกลงนั้น เป็นอุทธรณ์ที่โจทก์ประสงค์ให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงมา จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 3 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของโจทก์มีเหตุที่ทำให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ก็เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 3 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเช่นกัน
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีกฎหมายใดห้ามไม่ให้คณะกรรมการดำเนินการของจำเลยทบทวนรายงานการประชุมหรือลงมติใหม่เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่ศาลแรงงานภาค 3 หยิบยกมติคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดที่ 40 ขึ้นวินิจฉัย เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น แม้จะเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือไม่ต่ำกว่าตำแหน่งเดิม หากไม่สามารถรับโจทก์เข้าทำงานตามเดิมได้ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม 4,683,600 บาท ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าบำเหน็จรวมเป็นเงิน 390,300 บาท และให้จำเลยคืนโฉนดที่ดิน (น.ส.4 จ.) เลขที่ 5804, 5805, 5807 ตำบลหนองสะโน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี และบัญชีเงินสะสมและเงินฝากออมทรัพย์แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 3 พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 260,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยคืนโฉนดที่ดิน (น.ส.4 จ.) เลขที่ 5804, 5805, 5807 ตำบลหนองสะโน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี และบัญชีเงินสะสมและเงินฝากออมทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2545 จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจสินเชื่อ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 26,020 บาท เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยเคยมีคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่โจทก์โดยให้ออกจากงาน แต่โจทก์ร้องเรียนต่อสำนักงานสหกรณ์จังหวัดอุบลราชธานีและพนักงานตรวจแรงงานแล้วมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันจนจำเลยยินยอมรับโจทก์เข้าทำงานใหม่ ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 คณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดที่ 39 มีมติให้เลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยให้ แต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 คณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดที่ 40 กลับมีมติให้เพิกถอนมติดังกล่าวแล้วมีมติใหม่เป็นให้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และวินิจฉัยว่า มติคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดที่ 40 ที่ให้เพิกถอนมติคณะกรรมการดำเนินการชุดที่ 39 เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่โจทก์ประพฤติปฏิบัติผิดข้อตกลงและได้รับหนังสือเตือนหลายครั้ง จึงเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และถือว่าโจทก์กระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเมื่อไม่ปรากฏว่าการกระทำของโจทก์เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ประกอบหนังสือเลิกจ้างระบุว่า จำเลยยินยอมจ่ายค่าชดเชย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของโจทก์ตามที่ถูกสมาชิกร้องเรียนเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นการกระทำผิดข้อตกลง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมนั้น เป็นอุทธรณ์ที่โจทก์ประสงค์ให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงมา จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 3 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำผิดของโจทก์มีเหตุทำให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) เพราะเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว ก็เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 3 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง เช่นกัน
ที่จำเลยอุทธรณ์ต่อไปว่า ไม่มีกฎหมายใดห้ามไม่ให้คณะกรรมการดำเนินการของจำเลยทบทวนรายงานการประชุมหรือลงมติใหม่เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่ศาลแรงงานภาค 3 หยิบยกมติคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดที่ 40 ขึ้นวินิจฉัยเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น แม้เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยอีกเช่นกัน
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลย.
(ธีระพล ศรีอุดมขจร - อนุวัตร ขุนทอง - กนกรดา ไกรวิชญพงศ์)
ศาลชั้นต้น นายไพศิษฐ์ รักกิจศิริกุล
นายสุรพัศ เพ็ชรคง ผู้ช่วยฯ/ย่อสั้น
นายสุโรจน์ จันทรพิทักษ์ ผู้พิพากษาฯ ประจำกองผู้ช่วยฯ/ตรวจย่อสั้น/ตรวจย่อยาว
นางสาวนิติรัตน์ ศิระภัสร์บารมี นิติกร/ย่อยาว
นางสาวมนัสนันท์ อิ่มใจ พิมพ์