อุทธรณ์ที่ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

 

หมายเลขคดีดำที่ ร.325 - 326/2560              นายณพล  กอเสาวภาคย์ กับพวก                       โจทก์

หมายเลขคดีแดงที่ 683 - 684/2560               คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์                           จำเลย

                                                          บริษัทคิมเบอร์ลี่ย์ - คล๊าค

                                                          ประเทศไทย จำกัด                                    จำเลยร่วม

 

พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121, 123

 

          แม้โจทก์ทั้งสองจะเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและมีการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองในระหว่างที่ข้อเรียกร้องมีผลใช้บังคับ แต่จำเลยร่วมเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เนื่องจากหย่อนนสมรรถภาพในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดี ละทิ้งหน้าที่ในการทำงานและจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง และเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 เนื่องจากหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อนายจ้างและผู้บังคับบัญชา มีความประพฤติกระด้างกระเดื่อง ทำงานไม่ได้มาตรฐานตามที่นายจ้างวางไว้ จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างและจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย โจทก์ทั้งสองมีพฤติกรรมที่ไม่สามารถทำงานกับจำเลยร่วมได้ จำเลยร่วมย้ายโจทก์ทั้งสองไปทำงานที่จังหวัดอื่นอันเป็นการให้โอกาสแก่โจทก์ทั้งสองที่จะแสดงความสามารถในการทำงานในระยะเวลาพอสมควรแต่โจทก์ทั้งสองก็ยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมและมีผลการทำงานแย่ลง จำเลยร่วมจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุดังกล่าว มิใช่เลิกจ้างเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้องหรือเพราะเหตุเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่ได้บัญญัติไว้ในหมวด 9 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองนายจ้างมิให้กลั่นแกล้งกันโดย มาตรา 121 กำหนดเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ 5 ประการ และบทบัญญัติมาตรา 123 มุ่งมิให้นายจ้างกลั่นแกล้งลูกจ้าง แต่แม้จะได้กำหนดเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้เพียง 5 ประการตาม มาตรา 123 ก็มิได้หมายความว่าเมื่อนายจ้างมีเหตุจำเป็นนอกเหนือจากเหตุดังกล่าวแล้วนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองมีปัญหาในการปฏิบัติงานทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยร่วมซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีความชอบธรรมที่จะต้องดำเนินการตามหลักในการบริหารงานบุคคลด้วยการเลิกจ้างลูกจ้างนั้นได้ ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลที่จำเป็นมิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตาม มาตรา 121 และมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

______________________________

 

          คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่าจำเลย

          โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ครั้งที่ 972 - 973/2557 ให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้นายจ้างรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่รับกลับเข้าทำงานเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 972 - 973/2557

          ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งเรียกบริษัทคิมเบอร์ลี่ย์ - คล๊าค ประเทศไทย จำกัด นายจ้างเข้ามาเป็นจำเลยร่วม

          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

          จำเลยร่วมให้การและแก้ไขคำให้การว่าขอให้ยกฟ้อง

          ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

          โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

            ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าคดีนี้โจทก์ทั้งสองเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและจำเลยร่วมเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองในระหว่างที่ข้อเรียกร้องมีผลใช้บังคับ แต่นายจ้างเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เนื่องจากหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดี ละทิ้งหน้าที่ในการทำงานและจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง และเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 เนื่องจากหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดีกับนายจ้างและผู้บังคับบัญชา มีความประพฤติกระด้างกระเดื่อง ทำงานไม่ได้มาตรฐานตามที่บริษัทวางไว้และจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างและจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย โจทก์ทั้งสองมีพฤติกรรมที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับจำเลยร่วมได้ จำเลยร่วมย้ายโจทก์ทั้งสองไปทำงานที่จังหวัดอื่นอันเป็นการให้โอกาสแก่โจทก์ทั้งสองที่จะแสดงความสามารถในการทำงานในระยะเวลาพอสมควรแต่โจทก์ทั้งสองก็ยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมและมีผลการทำงานแย่ลง โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องต่อจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยร่วมเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ จำเลยมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ทั้งสองตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 972 - 973/2557

        คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า กรณีมีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 972 - 973/2557 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 บัญญัติห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุที่ลูกจ้างนัดชุมนุม ทำคำร้อง ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดำเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยาน หรือให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่ลูกจ้างนั้นเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานหรือมีเหตุใดเหตุหนึ่ง ใน 5 เหตุที่ระบุไว้ในมาตรา 121 หากนายจ้างกระทำการดังกล่าวก็เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คดีนี้แม้โจทก์ทั้งสองจะเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและมีการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองในระหว่างที่ข้อเรียกร้องมีผลใช้บังคับ แต่จำเลยร่วมเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เนื่องจากหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดี ละทิ้งหน้าที่ในการทำงานและจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง และเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 เนื่องจากหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดีกับนายจ้างและผู้บังคับบัญชา มีความประพฤติกระด้างกระเดื่อง ทำงานไม่ได้มาตรฐานตามที่นายจ้างวางไว้และจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างและจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย โจทก์ทั้งสองมีพฤติกรรมที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับจำเลยร่วมได้ จำเลยร่วมย้ายโจทก์ทั้งสองไปทำงานที่จังหวัดอื่นอันเป็นการให้โอกาสแก่โจทก์ทั้งสองที่จะแสดงความสามารถในการทำงานในระยะเวลาพอสมควรแต่โจทก์ทั้งสองก็ยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมและมีผลการทำงานแย่ลง จำเลยร่วมจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุดังกล่าว มิใช่เลิกจ้างเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้องหรือเพราะเหตุเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่ได้บัญญัติไว้ในหมวด 9 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองนายจ้างและลูกจ้างมิให้กลั่นแกล้งกัน โดยมาตรา 121 กำหนดเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ 5 ประการ และบทบัญญัติมาตรา 123 มุ่งมิให้นายจ้างกลั่นแกล้งลูกจ้าง แต่แม้จะได้กำหนดเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้เพียง 5 ประการตามมาตรา 123 ก็มิได้หมายความว่าเมื่อนายจ้างมีเหตุจำเป็นนอกเหนือจากเหตุดังกล่าวแล้วนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองมีปัญหาในการปฏิบัติงานทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยร่วมซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีความชอบธรรมที่จะต้องดำเนินการตามหลักในการบริหารงานบุคคลด้วยการเลิกจ้างลูกจ้างนั้นได้ ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลที่จำเป็นมิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 121 และมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 972 - 973/2557 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน.

 

(ดาราวรรณ  ใจคำป้อ - วิเชียร  แสงเจริญถาวร - ยิ่งศักดิ์  โอฬารสกุล)

 

ศาลแรงงานกลาง        นางบุษบัน  ปราการพิลาศ

 

นายฐานุตร  เล็กสุภาพ                      ผู้ช่วยฯ/ย่อสั้น

นายสุโรจน์  จันทรพิทักษ์                   ผู้พิพากษาฯ ประจำกองผู้ช่วยฯ/ตรวจย่อสั้น/ตรวจย่อยาว

นายศิวานนท์  แนมใส                       นิติกร/ย่อยาว

นางสาวมนัสนันท์  อิ่มใจ                   พิมพ์