อุทธรณ์ที่ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
หมายเลขคดีดำที่ ร.367/2560 บริษัททองเทพแอนด์ไทเทพ จำกัด โจทก์
หมายเลขคดีแดงที่ 676/2560 นายสิทธิชัย กงวงษ์ ในฐานะ
พนักงานตรวจแรงงาน จำเลย
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง, 125 วรรคสาม, 125 วรรคสี่
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 27
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม กำหนดให้นายจ้างที่ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสามารถนำคดีไปสู่ศาลแรงงานได้ แต่นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งจึงจะฟ้องคดีได้นั้นเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มุ่งถึงสิทธิของลูกจ้างที่จะได้รับเงินตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จากนายจ้างโดยเร็วเมื่อลูกจ้างชนะคดี อันเป็นการป้องกันไม่ให้นายจ้างหน่วงเหนี่ยวชำระให้แก่ลูกจ้างชักช้า และตามมาตรา 125 วรรคสี่ ยังบัญญัติไว้สอดคล้องกันว่า เมื่อคดีถึงที่สุดลูกจ้างเป็นฝ่ายชนะคดี ให้ศาลมีอำนาจจ่ายเงินที่นายจ้างวางไว้ต่อศาลแก่ลูกจ้างได้โดยไม่ต้องบังคับคดี นายจ้างจึงไม่สามารถที่จะนำที่ดินมาวางเป็นหลักประกันแทนการวางเงินต่อศาลเพราะขัดต่อวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมิได้ตัดสิทธิหรือจำกัดสิทธิโจทก์เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง กำหนดให้นายจ้างที่ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสามารถนำคดีไปสู่ศาลแรงงานได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง โดยมาตรา 125 วรรคสาม กำหนดให้นายจ้างที่นำคดีไปสู่ศาลต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงจะฟ้องคดีได้ เงินดังกล่าวเป็นเงินที่นายจ้างต้องวางต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้นตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 27 และไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลที่จะสั่งยกเว้นการวางเงินดังกล่าวได้
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม กำหนดให้นายจ้างที่ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง และนายจ้างประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลแรงงานเพื่อขอเพิกถอนคำสั่งนั้น นายจ้างจะต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่นายจ้างประสงค์จะโต้แย้งต่อศาลซึ่งอาจเป็นจำนวนทั้งหมดตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานหรือเพียงบางส่วนก็ได้ และในกรณีที่เป็นการโต้แย้งคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเพียงบางส่วน นายจ้างจะต้องชำระเงินส่วนที่ไม่ติดใจโต้แย้งแก่ลูกจ้างเสียก่อน นายจ้างจึงจะมีอำนาจฟ้อง
______________________________
คดีสืบเนื่องมาจากจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน ได้ออกคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 5/2560 เรื่อง ค่าตอบแทน และค่าทำงานในวันหยุด ลงวันที่ 13 มกราคม 2560 สั่งให้โจทก์จ่ายค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ให้แก่นางสาวแสงเดือน กับพวกรวม 82 คน รวมเป็นเงิน 9,743,015 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าว โดยโจทก์ยื่นคำร้องขอวางที่ดินเป็นหลักประกันแทนการวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
วันที่ 9 พฤษภาคม 2560 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง จึงจะพิจารณาสั่งคำฟ้องต่อไป
ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอยกเว้นการวางเงินต่อศาล และยื่นคำร้อง
ขอวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแก่ผู้ร้องเพียงบางราย ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตและยกคำร้องทั้งสองฉบับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ขอวางที่ดินเป็นหลักประกันแทนการวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานได้หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาล นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งนั้น จึงจะฟ้องคดีได้ เป็นบทบัญญัติกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพราะตัดสิทธิหรือจำกัดสิทธิโจทก์เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย โจทก์ไม่สามารถหาเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานมาวางต่อศาลได้ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม กำหนดให้นายจ้างที่ไม่พอใจคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานสามารถนำคดีไปสู่ศาลแรงงานได้ แต่นายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งจึงจะฟ้องคดีได้นั้นเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มุ่งถึงสิทธิของลูกจ้างที่จะได้รับเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานจากนายจ้างโดยเร็วเมื่อลูกจ้างชนะคดี อันเป็นการป้องกันไม่ให้นายจ้างหน่วงเหนี่ยวชำระให้แก่ลูกจ้างชักช้า และตามมาตรา 125 วรรคสี่ ยังบัญญัติไว้สอดคล้องกันว่า เมื่อคดีถึงที่สุดลูกจ้างเป็นฝ่ายชนะคดี ให้ศาลมีอำนาจจ่ายเงินที่นายจ้างวางไว้ต่อศาลแก่ลูกจ้างได้โดยไม่ต้องบังคับคดี นายจ้างจึงไม่สามารถที่จะนำที่ดินมาวางเป็นหลักประกันแทนการวางเงินต่อศาลเพราะขัดต่อวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมิได้ตัดสิทธิหรือจำกัดสิทธิโจทก์เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญตามที่โจทก์อ้างมา ดังนี้ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์นำที่ดินมาเป็นหลักประกันแทนการวางเงิน และมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายใน 15 วัน จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการที่สองว่า โจทก์ขอยกเว้นการวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานได้หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า เงินที่โจทก์จะต้องนำมาวางศาลเพื่อฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน เป็นเงินจำนวนเกือบ 10,000,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายให้แก่ผู้ร้องทั้งแปดสิบสองคน เป็นเงินจำนวนที่สูงมาก โจทก์ไม่มีเงินเพียงพอที่จะนำมาวางศาลได้ จึงขอยกเว้นการวางเงินดังกล่าวต่อศาล เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง กำหนดให้นายจ้างที่ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสามารถนำคดีไปสู่ศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง โดยมาตรา 125 วรรคสาม กำหนดให้นายจ้างที่นำคดีไปสู่ศาลต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงจะฟ้องคดีได้ เงินดังกล่าวเป็นเงินที่นายจ้างต้องวางต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงมิใช่ค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 27 และไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลที่จะสั่งยกเว้นการวางเงินดังกล่าวได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 5/2560 อันเป็นคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งตามมาตรา 124 แล้วเป็นฝ่ายนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางเพื่อขอเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โจทก์จักต้องนำเงินที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งจำเลยมาวางศาลจึงจะฟ้องคดีได้ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องโจทก์ดังกล่าวจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า โจทก์ขอวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของลูกจ้างบางคนคือผู้ร้องที่ 2 และที่ 28 ได้หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายเงินแก่ลูกจ้างทั้งแปดสิบสองคน เป็นเงินเกือบ 10,000,000 บาท โดยกำหนดจำนวนเงินของลูกจ้างแต่ละคนแยกจากกันไว้ชัดเจน หากโจทก์ประสงค์ที่จะฟ้องเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์จ่ายเงินแก่ลูกจ้างบางคน เมื่อโจทก์ได้นำเงินจำนวนที่ต้องจ่ายตามคำสั่งให้แก่ลูกจ้างบางคนนั้นมาวางต่อศาล โจทก์ก็ย่อมที่จะสามารถฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งจำเลยในส่วนนั้นได้ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสามแล้วก็มิได้บัญญัติบังคับไว้โดยชัดเจนว่านายจ้างต้องวางเงินตามคำสั่งทั้งหมดที่มีคำสั่งให้จ่ายแก่ลูกจ้างทั้งแปดสิบสองคน เมื่อโจทก์มีเงินเพียงพอที่จะวางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลเฉพาะของลูกจ้างบางคนคือผู้ร้องที่ 2 และที่ 28 ก็ย่อมชอบที่จะกระทำได้ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในกรณีที่นายจ้างไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง และนายจ้างประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลแรงงานเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งนั้น นายจ้างจะต้องวางเงินตามจำนวนที่นายจ้างประสงค์จะโต้แย้งต่อศาลซึ่งอาจเป็นจำนวนทั้งหมดตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานหรือเพียงบางส่วนก็ได้ และในกรณีที่เป็นการโต้แย้งคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเพียงบางส่วน นายจ้างจะต้องชำระเงินส่วนที่ไม่ติดใจโต้แย้งแก่ลูกจ้างเสียก่อน นายจ้างจึงจะมีอำนาจฟ้อง เมื่อจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างทั้งแปดสิบสองคน รวมเป็นเงิน 9,743,315บาท โจทก์เพียงแต่อ้างว่า หากได้นำเงินจำนวนตามคำสั่งจำเลยที่สั่งให้แก่ลูกจ้างบางคนคือผู้ร้องที่ 2 และที่ 28 มาวางต่อศาลแล้วก็ย่อมที่จะสามารถฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งจำเลยในส่วนนั้นได้ แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ชำระเงินส่วนที่ไม่ติดใจโต้แย้งให้แก่ลูกจ้างที่เหลืออื่นเสียก่อนแต่อย่างใด ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องโจทก์ดังกล่าว จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
พิพากษายืน.
(สมเกียรติ คูวัธนไพศาล - เฉลิมพงศ์ ขันตี - รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์)
ศาลแรงงานกลาง (สมุทรปราการ) นายธีรศักดิ์ เงยวิจิต
นายวิฑูรย์ ตรีสุนทรรัตน์ ผู้ช่วยฯ/ย่อสั้น
นายสุโรจน์ จันทรพิทักษ์ ผู้พิพากษาฯ ประจำกองผู้ช่วยฯ/ตรวจย่อสั้น/ตรวจย่อยาว
นางสาวนิติรัตน์ ศิระภัสร์บารมี นิติกร/ย่อยาว
นางสาวมนัสนันท์ อิ่มใจ พิมพ์