คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 5534/2566  บริษัทลัคกี้ สปินนิ่ง จํากัด  ลูกหนี้ผู้ร้องขอ

        (ประชุมใหญ่)                                    ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ร้อง                                             เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์         ผู้คัดค้าน

พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒, 96 (4), 179 (4)

         เมื่อผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้มีประกันของลูกหนี้ มีสิทธิเลือกที่จะเข้ามาในคดีล้มละลายหรือไม่ก็ได้ เมื่อผู้ร้องเลือกที่จะเข้ามาในคดีล้มละลาย โดยยื่นคําขอรับชําระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖ (๔) ก็ต้องดําเนินการผ่านเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะผู้ร้องไม่อาจดําเนินการได้ด้วย ตนเอง จึงถือได้ว่าผู้ร้องได้ใช้บริการเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว เมื่อลูกหนี้ถูกศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอํานาจรวบรวมและจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้
ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ ซึ่งการยื่นขอรับชําระหนี้วิธีนี้ เป็นการให้โอกาส
ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันสามารถเอาทรัพย์หลักประกันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โดยผู้ร้อง
ต้องตีราคาทรัพย์ที่เป็นหลักประกันมาในการยื่นคําขอรับชําระหนี้ ซึ่งหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าราคาทรัพย์ที่ผู้ร้องตีราคามานั้นเป็นจํานวนพอสมควร ก็จะยินยอมให้ทรัพย์สินนั้น
เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องตามราคาที่ตีมา แต่หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า ผู้ร้องตีราคาทรัพย์
ที่เป็นหลักประกันต่ำเกินไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็อาจใช้สิทธิไถ่ถอนทรัพย์ที่เป็นหลักประกันตามราคาที่ผู้ร้องตีราคาไว้ หรือขายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันก็ได้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ใช้สิทธิไถ่ถอนหรือขายทรัพย์สินภายในกําหนด ก็มีผลเพียงให้ถือว่ายินยอมให้ทรัพย์สินนั้น
เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องตามที่ผู้ร้องได้ตีราคามา และเมื่อผู้ร้องชําระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่ออกหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้องต่อไป มาตราดังกล่าว
เป็นวิธีการรวบรวมและจําหน่ายทรัพย์สินตามอํานาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วิธีการหนึ่ง
ซึ่งถือเป็นการให้บริการของหน่วยงานของรัฐแล้ว ผู้คัดค้านจึงสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้
ผู้ร้องจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินในอัตราร้อยละสาม
ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) คำสั่งผู้คัดค้านที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม
จากผู้ร้องเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว

______________________________

         คดีสืบเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๖๗ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔

         ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่มีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินตามมาตรา 179 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483

         ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

         ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

         ผู้ร้องอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ผู้ร้องยื่น
คำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน ตามมาตรา 96 (4)
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จำนวน 9,100,954,777.18 บาท โดยตีราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน 162,173,270 บาท และขอรับชำระหนี้จำนวนที่ยังขาดอยู่ 8,938,781,507.18 บาท ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2564 ผู้คัดค้านมีคำสั่งยินยอมให้ทรัพย์หลักประกันตกเป็นสิทธิแก่ของผู้ร้อง วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๕ ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้เครื่องจักรที่ผู้ร้องตีราคาหลักประกันไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้อง ตามมาตรา 96 (4) หลังจากนั้นวันที่ 14 มีนาคม 2565 ผู้คัดค้านมีหมายนัดแจ้งให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม 4,865,430.10 บาท ภายใน 20 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ
ผู้ร้องได้รับหนังสือแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายวันที่ 16 มีนาคม 2565

         ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องข้อแรกมีว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการกระทำ
หรือคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านภายในกำหนดสิบสี่วัน ตามมาตรา ๑๔๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พ.ศ. ๒๔๘๓ หรือไม่ เห็นว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 อนุญาตให้
ขยายระยะเวลายื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งผู้คัดค้านถึงวันที่ 29 เมษายน 2565 เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ในวันที่ 28 เมษายน 2565 จึงเป็นการยื่นคำร้องคัดค้านการกระทำหรือคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านภายในกำหนดแล้ว ที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
ไปแล้วนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้น

         ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องข้อต่อไปมีว่า ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมตามมาตรา 179 (๔) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันของลูกหนี้
มีสิทธิเลือกที่จะเข้ามาในคดีล้มละลายหรือไม่ก็ได้ เมื่อผู้ร้องเลือกที่จะเข้ามาในคดีล้มละลาย โดยยื่น
คำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖ (๔) ก็ต้องดำเนินการ
ผ่านเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะผู้ร้องไม่อาจดำเนินการได้ด้วยตนเอง จึงถือได้ว่าผู้ร้องได้ใช้บริการเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว เมื่อลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว
มีอำนาจรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ ซึ่งการยื่นขอรับชำระหนี้วิธีนี้ เป็นการให้โอกาสผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันสามารถเอาทรัพย์หลักประกันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โดยผู้ร้องต้องตีราคาทรัพย์ที่เป็นหลักประกันมาในการยื่น
คำขอรับชำระหนี้ ซึ่งหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าราคาทรัพย์ที่ผู้ร้องตีราคามานั้นเป็นจำนวนพอสมควร ก็จะยินยอมให้ทรัพย์สินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องตามราคาที่ตีมา แต่หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า ผู้ร้องตีราคาทรัพย์ที่เป็นหลักประกันต่ำเกินไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็อาจใช้สิทธิ
ไถ่ถอนทรัพย์ที่เป็นหลักประกันตามราคาที่ผู้ร้องตีราคาไว้ หรือขายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันก็ได้
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ใช้สิทธิไถ่ถอนหรือขายทรัพย์สินภายในกำหนด ก็มีผลเพียงให้ถือว่ายินยอมให้ทรัพย์สินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องตามที่ผู้ร้องได้ตีราคามา และเมื่อผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่ออกหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้องต่อไป
จึงเห็นได้ว่า มาตราดังกล่าวเป็นวิธีการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินตามอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วิธีการหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการให้บริการของหน่วยงานของรัฐแล้ว ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ ผู้ร้องจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินในอัตราร้อยละสาม ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๗๙ (๔) เมื่อผู้คัดค้านมีคำสั่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ร้องในอัตราร้อยละสาม เป็นเงินจำนวน ๔,๘๖๕,๑๙๘.๑๐ บาท จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

         พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

(ศักดิ์เสถียร  สวนสุข – เอื้อน  ขุนแก้ว – วาสนา  บุญทรงสันติกุล)

 

ภารดี  เพ็ญเจริญ – ย่อ

สุรัชฎ์  เตชัสวงศ์ – ตรวจ