คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 5447/2566  นางยาใจ  โพธิ์วิเชียร กับพวก         โจทก์

                                                           บริษัทซี. ดับบลิว. แมเนจเมนท จำกัด

                                                                       กับพวก                                จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 298, 306 วรรคแรก, 1599, 1600

         การโอนสิทธิเรียกร้องตาม ป.พ.พ. บรรพ ๒ หมวด ๔ ต้องเป็นกรณีการแสดงเจตนาโอนสิทธิเรียกร้องในระหว่างที่เจ้าหนี้ผู้โอนยังมีชีวิตอยู่ให้แก่บุคคลภายนอกเป็นเจ้าหนี้คนใหม่แทน
โดยนิติกรรม หรือมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงจะต้องมีการบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้
ตามมาตรา ๓๐๖ วรรคแรก ส่วนกรณีการโอนสิทธิเรียกร้องของ นาย ป. ที่มีต่อจําเลยทั้งสาม
เนื่องจาก นาย ป. เสียชีวิต จึงเป็นการโอนหรือตกทอดเนื่องจากนิติเหตุเป็นผลของมาตรา ๑๕๙๙
และมาตรา ๑๖๐๐ ซึ่งสิทธิและหน้าที่ต่างๆ รวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจําเลยทั้งสามย่อมเป็นมรดก
ตกทอดแก่โจทก์ทั้งสองผู้เป็นทายาทและทายาทอื่นของผู้ตายตามกฎหมาย ทั้งนี้ ทายาททุกคนย่อมมี สิทธิเรียกร้องให้ชําระหนี้โดยสิ้นเชิงได้ตามมาตรา ๒๙8 ส่วนการที่ทายาทยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสอง
และศาลแพ่งธนบุรีมีคําพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทายาทตกลงให้โจทก์ทั้งสอง
มีสิทธิเรียกร้องจากจําเลยทั้งสามก็เป็นเรื่องการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทกันเอง
กรณีมิใช่อยู่ในบังคับเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตามบรรพ ๒ หมวด ๔ ที่ต้องบอกกล่าวการโอนสิทธิ เรียกร้องไปยังจําเลยทั้งสาม เมื่อทายาทแบ่งปันทรัพย์มรดกของ นาย ป. สําหรับสิทธิเรียกร้อง
จากจําเลยทั้งสามให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว ดังนั้น โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง

______________________________

         โจทก์ทั้งสองฟ้อง ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย

         จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

         จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลล้มละลายกลาง มีคำพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

         โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า โจทก์ที่ ๑ กับนายประเสริฐ เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนโจทก์ที่ ๒
เป็นบุตรของโจทก์ที่ ๑ กับนายประเสริฐ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสี่แปลงกับนายประเสริฐโดยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๓๓, ๓๘๖๓ และ ๓๗๕๖ ตำบลคลองพระอุดม (บ้านแหลม) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑)
เลขที่ ๓๙๕ ตำบลคลองพระอุดม อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในราคา ๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๓๙๕ ออกโฉนดเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙๕๗๘
ตำบลคลองพระอุดม อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่
๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำเลยที่ ๒ ชำระเงินให้นายประเสริฐบางส่วนและขอรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสี่แปลง จำเลยที่ ๒ ยังค้างชำระเงินค่าซื้อที่ดินเป็นเงิน ๒๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำเลยที่ ๒ ทำบันทึกข้อตกลงการชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระโดยนำจำเลยที่ ๑ มาเป็นผู้ชำระเงินแก่
นายประเสริฐ มีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกัน และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินกับนายประเสริฐเป็นเงิน ๒๔,๘๐๐๐,๐๐๐ บาท มีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกัน ในวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗ นายประเสริฐถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ ๑ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย
และเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ ตามคำสั่งของศาลแพ่งธนบุรี ต่อมาวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๘ จำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ ยอมรับว่า
มีหนี้ค้างชำระกองมรดกของนายประเสริฐตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นต้นเงิน ๒๓,๗๕๖,๑๔๒ บาท ดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๘ เป็นเงิน ๒๑๔,๗๘๑.๖๐ บาท และตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระครบถ้วน
โดยแบ่งชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นงวดรายเดือน ให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ ปี นับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ หลังจากนั้น ระหว่างวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ จำเลยทั้งสาม
ชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓,๓๖๗,๖๐๐ บาท ต่อมาทายาทคนหนึ่งซึ่งศาลมีคำสั่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก
ของนายประเสริฐฟ้องโจทก์ทั้งสองขอแบ่งทรัพย์มรดกต่อศาลแพ่งธนบุรี ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ ทายาทของนายประเสริฐตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยตกลงยกสิทธิในการเรียกร้องจากจำเลยทั้งสามให้แก่โจทก์ทั้งสอง ศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาตามยอม ในวันที่
๙ สิงหาคม และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ โจทก์ทั้งสองมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๒ หมวด ๔ ต้องเป็นกรณีการแสดงเจตนาโอนสิทธิเรียกร้องในระหว่างที่เจ้าหนี้ผู้โอนยังมีชีวิตอยู่ให้แก่บุคคลภายนอกเป็นเจ้าหนี้คนใหม่แทนโดยนิติกรรม หรือมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงจะต้องมีการบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ตามมาตรา ๓๐๖ วรรคแรก ส่วนกรณีการโอนสิทธิเรียกร้องของนายประเสริฐที่มีต่อจำเลยทั้งสามเนื่องจากนายประเสริฐเสียชีวิต จึงเป็นการโอนหรือตกทอดเนื่องจากนิติเหตุเป็นผลของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ และมาตรา ๑๖๐๐ ซึ่งสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ รวมทั้งสิทธิเรียกร้อง
ที่มีต่อจำเลยทั้งสามย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสองผู้เป็นทายาทและทายาทอื่นของผู้ตาย
ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ทายาททุกคนย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้โดยสิ้นเชิงได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๙ ส่วนการที่ทายาทยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองและศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทายาทตกลงให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสาม
ก็เป็นเรื่องการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทกันเอง กรณีมิใช่อยู่ในบังคับเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตามบรรพ ๒ หมวด ๔ ที่ต้องบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยทั้งสาม ที่ศาลล้มละลายกลาง
มีคำวินิจฉัยว่า การโอนสิทธิเรียกร้องจากทายาทมาให้แก่โจทก์ทั้งสองต้องมีการบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยทั้งสามก่อนนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อทายาทแบ่งปันทรัพย์มรดก
ของนายประเสริฐสำหรับสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสามให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว ดังนั้น โจทก์ทั้งสอง
จึงมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น และเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแล้ว ทั้งศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสองเสร็จแล้ว โดยจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ติดใจสืบพยาน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงเห็นสมควรวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
ไปให้ศาลล้มละลายกลางมีคำวินิจฉัยในปัญหาอื่นอีก

         ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้หนี้
ตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้กำหนดให้จำเลยทั้งสามผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นงวดรายเดือน
ซึ่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๒) ก็ตาม แต่ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ ๒ ว่า หลังจากจำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้ ระหว่างวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓,๓๖๗,๖๐๐ บาท ซึ่งในส่วนนี้จำเลยทั้งสามมิได้นำพยานมาสืบหักล้าง การที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้
กองมรดกของนายประเสริฐและต่อมานำเงินมาผ่อนชำระดอกเบี้ย ถือว่าเป็นการที่จำเลยทั้งสาม
รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงในช่วงเวลาดังกล่าวและสิ้นสุดในวันที่
2๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 1๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ ยังไม่เกิน ๕ ปี ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความ

         ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสามล้มละลายหรือไม่ ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท และสำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท ทั้งก่อนฟ้องโจทก์ทั้งสองมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๘ (๙) จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำพยานหลักฐาน
มานำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสามไม่นำพยานมาสืบ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า
จำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า จำเลยทั้งสามผ่อนชำระดอกเบี้ย
แก่โจทก์ทั้งสองเพียงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามไม่พยายามขวนขวยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองอีก กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย สำหรับที่จำเลยทั้งสาม
ให้การว่า ดอกเบี้ยของโจทก์ทั้งสองเป็นการเรียกดอกเบี้ยค้างชำระซึ่งเกินกว่า ๕ ปี อายุความ
เรียกดอกเบี้ยในส่วนเกินกว่า ๕ ปี ย้อนหลังขึ้นไปจึงขาดอายุความนั้น เป็นกรณีที่ต้องพิจารณา
ในชั้นโจทก์ทั้งสองยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม กรณีไม่จำต้องพิจารณา
ในชั้นนี้ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย

            พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔ ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสอง โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร.

(ฐานิต  ศิริจันทร์สว่าง – สมจิตร์  ปอพิมาย – นพร  เพชรคุณ)

 

นราธิป  บุญญพนิช – ย่อ

สุรัชฎ์  เตชัสวงศ์ – ตรวจ