คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2251/2567 กรมศุลกากร กับพวก โจทก์
บริษัท ก. จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (5), 193/15, 193/31
โจทก์ที่ ๑ ได้ออกแบบแจ้งการประเมินภาษีอากรที่ต้องชำระแก่จำเลย แล้วส่งแบบแจ้ง
การประเมินอากรส่งไปยังจำเลยโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้ชำระภายใน ๓๐ วัน จำเลยได้รับโดยชอบเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ แต่จำเลยไม่อุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดี
ต่อศาลภาษีอากรกลางภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด อันมีผลให้การประเมินของเจ้าพนักงาน
เป็นอันยุติ ส่งผลให้จำเลยหมดสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนการประเมิน เช่นนี้
หนี้ภาษีอากรตามแบบแจ้งการประเมินจึงเป็นอันยุติ ถือเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามใช้สิทธิของเจ้าหนี้
ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี ย่อมเป็นผลให้อายุความในหนี้ภาษีอากรตามฟ้องสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (5) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ แต่ให้เริ่มนับอายุความใหม่เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาลง คือวันที่ 25 พฤษภาคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดให้จำเลยนำเงิน
ภาษีอากรไปชำระแก่โจทก์ทั้งสามเป็นต้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/15 ในการที่หน่วยงาน
โจทก์ทั้งสามเป็นกรมสังกัดกระทรวงคลังและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายบังคับใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐ
เรียกเอาค่าภาษีอากรมีกำหนดอายุความสิบปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๑ แห่ง ป.พ.พ. โจทก์ทั้งสาม
ยื่นฟ้องในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี คดีโจทก์ทั้งสามจึงไม่ขาดอายุความ
______________________________
โจทก์ทั้งสามฟ้อง ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีอากรเป็นเงิน ๔,๒๘๓,๘๐๖.๐๖ บาท
แก่โจทก์ทั้งสาม กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลภาษีอากรกลางรับรองว่ามีเหตุสมควร
ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยได้นำสินค้าสุราจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศกำเนิดสหราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยทางเรือ ใช้สิทธิผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (EPZ) นำของเข้าเก็บในเขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง (EPZ) คลังสินค้า 0501 Factory ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติ
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ต่อมาวันที่ ๒4 เมษายน 2555 จำเลยได้นำ
สินค้าสุราดังกล่าวออกจากเขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง (EPZ) คลัง 0501 Factory โดยเป็นผู้รับผิดชอบบรรจุและทำการขนส่งสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก ๒ ฉบับ คือใบขนสินค้าขาออก เลขที่ A024-15504-02577 ใบกำกับการขนย้ายสินค้า เลขที่ 5504A0188357 EST 1204/057 และตามใบขนสินค้าขาออก เลขที่ A024-15504-02175 ใบกำกับการขนย้ายสินค้า เลขที่ 5504A0188355 EST 1204/056 ไปยังด่านศุลกากรแม่สาย (ศภ.3) เพื่อส่งออกไปประเทศเมียนมา โดยรถยนต์ประเภทรถบรรทุก จังหวัดเชียงราย ต่อมาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2555 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งการโจรกรรมสินค้าส่งออกถึงโจทก์ที่ ๑ ตรวจพบมี ๑. สุรากลั่น JOHNNIE WALKER GOLD RESERVE ขาดหาย ๑๒ ลัง ราคาประมาณ ๘๘,๖๓๔.๔๕ บาท ๒. สุรากลั่น JOHNNIE WALKER BLACK LABEL ขาดหาย ๙๓ ลัง ราคาประมาณ ๔๓๘,๗๕๓.๓๒ บาท ๓. สุรากลั่น J&B RARE ขาดหาย ๒ ลัง ราคาประมาณ ๔,๐๑๓.๓๑ บาท รวมทั้งสิ้น ๑๐๗ ลัง ราคา ๕๓๑,๔๐๑.๐๘ บาท เจ้าหน้าที่ผู้ประเมินอากรของโจทก์ที่ ๑ ได้ออกแบบแจ้งการประเมินภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระ
ตามแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรณีอื่น ๆ) (กศก.115) เลขที่ กค 3300090/24-04-2556, เลขที่ กค 3300091/24-04-2556 และเลขที่
กค 3300092/24-04-2556 และได้แจ้งการประเมินอากรตามหนังสือ ที่ กค 0507(2.2)/505
ลงวันที่ 25 เมษายน 2556 ส่งไปยังจำเลยโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับและจำเลยได้รับ
โดยชอบเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ และแจ้งรายละเอียดและเหตุผลการประเมิน/เรียกเก็บแนบท้ายแบบแจ้งการประเมินอากร เลขที่ กค 3300090/24-04-2556, เลขที่ กค 3300091/24-04-2556 และเลขที่ กค 3300092/24-04-2556 เพิ่มเติมตามหนังสือ ที่ กค 0507(2.2)/๑๑๖๙ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน 2556 และแจ้งให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรให้ครบถ้วน ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ซึ่งจำเลยได้รับโดยชอบแล้วเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินของพนักงานประเมิน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คดีโจทก์ทั้งสามขาดอายุความหรือไม่
จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยนำของออกจากเขตประกอบการเสรีนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง
เพื่อส่งออกไปประเทศเมียนมาแต่ถูกโจรกรรมไม่ถือว่าเป็นการนำของเข้ามาในราชอาณาจักร และโจทก์ที่ ๑ ออกแบบแจ้งการประเมินภาษีอากรแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยไม่ใช่ผู้มีหน้าที่
เสียภาษีอากร เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าถูกโจรกรรม จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต้องอุทธรณ์การประเมิน
และไม่ถือว่าหนี้ภาษีอากรยุติไปตามแบบแจ้งการประเมิน โจทก์ทั้งสามนำแบบแจ้งการประเมิน
ที่ออกโดยไม่ชอบมาถือว่าเป็นกรณีเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดเป็นผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีทำให้
อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับใหม่ตั้งแต่พ้น 30 วันที่กำหนดให้จำเลยชำระภาษีอากรตั้งแต่วันที่
25 พฤษภาคม ๒๕๕๖ จึงไม่ชอบ จำเลยทำสัญญาประกันไว้กับโจทก์ที่ ๑ ในความเสียหายจาก
การโจรกรรม เมื่อสินค้าของจำเลยถูกโจรกรรมและจำเลยแจ้งให้โจทก์ที่ ๑ ทราบแล้วในวันที่
๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ ถือว่าโจทก์ทั้งสามอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 193/12 โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ๒๕๖6 เกิน 10 ปีแล้ว คดีโจทก์ทั้งสามจึงขาดอายุความ เห็นว่า มาตรา ๑๑๒ ฉ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ บัญญัติว่า “ผู้นําของเข้าหรือผู้ส่งของออกมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่
ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามแบบที่อธิบดีกําหนดได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
การประเมิน โดยในกรณีที่เป็นการนําของเข้าหรือส่งของออกในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร
อาจอุทธรณ์โดยยื่นผ่านด่านศุลกากรหรือสํานักงานศุลกากรภาคก็ได้โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบ
ที่อธิบดีกําหนด” และมาตรา ๓๐ แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดไว้ว่า “...ในการอุทธรณ์การประเมิน
ภาษีอากรให้อุทธรณ์ภายในกําหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน โดยให้อุทธรณ์
ตามเกณฑ์และวิธีการ...” และมาตรา 86 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า “ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่ได้รับแจ้งการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิคัดค้านการประเมินต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน” เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยได้นำสินค้าสุราจากสาธารณรัฐสิงคโปร์เข้ามาในราชอาณาจักร โดยใช้สิทธิผู้ประกอบอุตสาหกรรม
หรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมในเขตประกอบการเสรี (EPZ) นำของเข้าเก็บในเขตประกอบการเสรี
นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง (EPZ) คลังสินค้า 0501 Factory ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒ ต่อมาวันที่ ๒4 เมษายน 2555 จำเลยนำสินค้าสุราดังกล่าวออกจากเขตประกอบการเสรี โดยเป็นผู้รับผิดชอบบรรจุและทำการขนส่งสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก เลขที่ A024-15504-02577 ใบกำกับการขนย้ายสินค้า เลขที่ 5504A0188357 EST 1204/057 และตามใบขนสินค้าขาออก เลขที่ A024-15504-02175 ใบกำกับการขนย้ายสินค้า เลขที่ 5504A0188355
EST 1204/056 ไปยังด่านศุลกากรแม่สาย (ศภ.3) เพื่อส่งออกไปประเทศเมียนมา โดยรถยนต์ประเภทรถบรรทุก และวันที่ 25 เมษายน 2555 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ที่ ๑ ว่าสินค้าที่ส่งออกถูกโจรกรรม โจทก์ที่ ๑ เห็นว่าเมื่อมีการขนส่งของออกจากเขตประกอบการเสรีเกิดความเสียหายหรือสูญหาย
ซึ่งของที่ทำการขนส่ง จำเลยต้องรับผิดเสียค่าภาษีอากรที่เกิดขึ้นสำหรับของที่ถูกโจรกรรมนั้น
โดยถือสภาพของ ราคา และอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่สิทธิได้รับยกเว้นอากรสิ้นสุดลง โจทก์ที่ ๑
ได้ออกแบบแจ้งการประเมินภาษีอากรที่ต้องชำระแก่จำเลย แล้วส่งแบบแจ้งการประเมินอากรส่งไปยังจำเลยโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้ชำระภายใน ๓๐ วัน จำเลยได้รับโดยชอบเมื่อวันที่
๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ในการนี้ หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับการประเมินไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ จำเลยชอบ
ที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในเวลา
ที่กฎหมายกำหนดนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน แต่จำเลยไม่อุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดี
ต่อศาลภาษีอากรกลางภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เมื่อจำเลยไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจโต้แย้งการประเมินนั้น อันมีผลให้การประเมินของเจ้าพนักงานเป็นอันยุติ ส่งผลให้จำเลยหมดสิทธิ
ที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนการประเมิน เช่นนี้ หนี้ภาษีอากรตามแบบแจ้งการประเมิน
จึงเป็นอันยุติ ถือเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามใช้สิทธิของเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี ย่อมเป็นผลให้อายุความในหนี้ภาษีอากรตามฟ้องสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (5) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ แต่ให้เริ่มนับอายุความใหม่เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาลง
คือวันที่ 25 พฤษภาคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดให้จำเลยนำเงินภาษีอากรไปชำระแก่โจทก์ทั้งสามเป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/15 ในการที่หน่วยงานโจทก์ทั้งสาม
เป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลังและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร
เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายบังคับใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐเรียกเอาค่าภาษีอากร
มีกำหนดอายุความสิบปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ทั้งสาม
ยื่นฟ้องในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี คดีโจทก์ทั้งสามจึงไม่ขาดอายุความ
ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีอากรแก่โจทก์ทั้งสามตามฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยในข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
(เดชา คำสิทธิ - ณัฐพร ณ กาฬสินธุ์ - วิชัย จิตตาณิชย์)
ธนสร สุทธิบดี - ย่อ
วรวัฒน์ กุสลางกูรวัฒน์ - ตรวจ