คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1618/2562   นางหรือนางสาวภัทรวดี  นามวงศ์

                                                                          หรือชุนงาม                             โจทก์

    มูลนิธิคณะสงฆ์พระมหาไถ่

     แห่งประเทศไทย กับพวก            จำเลย

พ.ร.บ. โรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐

ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน
พ.ศ. ๒๕๔๒

         ตามหนังสือแจ้งเตือนการปฏิเสธการปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานเพื่อความเหมาะสมกับสัญญาจ้างฉบับใหม่ทั้งสองฉบับรวมถึงข้อเท็จจริงในคดี ไม่มีข้อความหรือพฤติการณ์ใดบ่งบอกว่าจำเลยทั้งสามจะไม่ให้โจทก์ทำงานหรือไม่จ่ายค่าจ้างให้ ทั้งไม่มีการระบุถึงสาเหตุการเลิกจ้าง แต่กลับเห็นว่าการที่จำเลยทั้งสามยังคงส่งสัญญาจ้างฉบับใหม่ให้โจทก์ลงลายมือชื่อเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสามยังมีความประสงค์ให้โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสามต่อไป ส่วนหนังสือแจ้งเตือนการปฏิเสธการปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานเพื่อความเหมาะสมที่มีข้อความว่าหากโจทก์ยังคงยืนยันปฏิเสธการปฏิบัติงานในตำแหน่งใหม่ตามที่เคยแจ้งไปก็ให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานที่โรงเรียนนี้อีกต่อไป ก็เป็นการอธิบายเน้นย้ำให้เป็นที่เข้าใจว่าหากไม่ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างฉบับใหม่จะถือว่าเป็นความต้องการของโจทก์เองที่จะไม่ทำงานกับจำเลยทั้งสาม หาใช่เป็นการเลิกจ้างโจทก์ไม่

______________________________

            โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างจนถึงวันเกษียณอายุ
ค่าเสียประโยชน์จากการได้รับการประกันสุขภาพ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑๙,๑๘๙,๑๕๙.๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๗,๑๓๓,๑๗๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยทั้งสามให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษายกฟ้อง

         โจทก์อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ครูสอนภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษแผนก ELD
ในระดับเกรด ๓ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ โจทก์ได้รับหนังสือมีข้อความว่าหากโจทก์ต้องการสอน
ในตำแหน่งเดิมต้องไปเรียนต่อให้ได้ประกาศนียบัตร ELD/ELL วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๐ โจทก์ทำหนังสือยืนยันขอทำงานในตำแหน่งเดิม วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าว่าปีการศึกษา ๒๕๖๐ ถึง ๒๕๖๑ ให้โจทก์ไปทำหน้าที่ครูประจำชั้นให้แก่นักเรียน
ภาคปกติในระดับเกรด ๕ พร้อมกับส่งสัญญาจ้างฉบับใหม่ แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างฉบับใหม่ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ จำเลยที่ ๓ มีหนังสือแจ้งเตือนการปรับเปลี่ยนตำแหน่งงาน
ของโจทก์ดังกล่าว แล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงไม่อาจฟังได้ว่าวุฒิการศึกษาของโจทก์เทียบเท่าประกาศนียบัตร ELD/ELL โจทก์ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งหรือบังคับให้ลาออก แต่โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะทำงานกับจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย ค่าเสียสิทธิ
จากการทำงาน ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และค่าประกันสุขภาพตามฟ้อง

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาตามหนังสือแจ้งเตือนการปฏิเสธการปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานเพื่อความเหมาะสม
กับสัญญาจ้างฉบับใหม่ทั้งสองฉบับรวมถึงข้อเท็จจริงในคดี ไม่มีข้อความหรือพฤติการณ์ใดบ่งบอกว่าจำเลยทั้งสามจะไม่ให้โจทก์ทำงานหรือไม่จ่ายค่าจ้างให้ ทั้งไม่มีการระบุถึงสาเหตุการเลิกจ้าง แต่กลับเห็นว่าการที่จำเลยทั้งสามยังคงส่งสัญญาจ้างฉบับใหม่ให้โจทก์ลงลายมือชื่อเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสาม
ยังมีความประสงค์ให้โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสามต่อไป ส่วนหนังสือแจ้งเตือนการปฏิเสธ
การปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานเพื่อความเหมาะสม ที่มีข้อความว่าหากโจทก์ยังคงยืนยันปฏิเสธ
การปฏิบัติงานในตำแหน่งใหม่ตามที่เคยแจ้งไป ก็ให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานที่โรงเรียนนี้
อีกต่อไป ก็เป็นการอธิบายเน้นย้ำให้เป็นที่เข้าใจว่า หากไม่ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างฉบับใหม่จะถือว่าเป็นความต้องการของโจทก์เองที่จะไม่ทำงานกับจำเลยทั้งสาม หาใช่เป็นการเลิกจ้างโจทก์ไม่
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามไม่ได้
เลิกจ้างโจทก์จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป

         พิพากษายืน.

                   (เฉลิมพงศ์  ขันตี – ยิ่งลักษณ์  สุขวิสิฏฐ์ – สมเกียรติ  คูวัธนไพศาล)

ธัชวุทธิ์  พุทธิสมบัติ – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ