คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 260/256๘ องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง โจทก์
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ผู้ร้องสอด
ธนาคาร ท. จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 219 วรรคหนึ่ง, 369, 372, 686
สัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์ (ผู้ให้สัมปทาน) กับผู้ร้องสอด (ผู้รับสัมปทาน)
เป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อเข้าทำสัญญาผู้ร้องสอดย่อมคาดหวังว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปเก็บ
รังนกอีแอ่นตามธรรมชาติตามสัญญาทั้ง ๑๐ เกาะ และโจทก์จะได้รับเงินตามสัญญาสัมปทาน
ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๖๙ แต่เนื่องจากสัญญาสัมปทานกำหนดว่า
ผู้ร้องสอดต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ หรือแนวปฏิบัติของทางราชการทั้งที่กำหนดไว้แล้ว หรือที่จะกำหนดขึ้นใหม่ โดยเคร่งครัด ซึ่งระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการอนุญาตให้
ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๒ ข้อ ๓ กำหนดว่า
ให้ผู้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นตามกฎหมายว่าด้วยอากรรังนกอีแอ่น ซึ่งต้องเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่น ยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติต่ออธิบดีกรมป่าไม้ (ปัจจุบัน เป็นอธิบดีกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) สัญญาสัมปทานระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดจึงมีเงื่อนไขที่ผู้ร้องสอดต้องขออนุญาตต่ออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก่อนที่
จะเข้าอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่น อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
จะอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าในอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่นในเขตอุทยานแห่งชาติหรือไม่
เป็นเรื่องที่โจทก์และผู้ร้องสอดไม่สามารถกำหนดเองได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจผู้พิจารณา ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าไป
ในเขตอุทยานแห่งชาติต่ออธิบดีกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวม ๑๐ เกาะ แต่อธิบดี
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าในอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บ
รังนกอีแอ่นเพียง ๙ เกาะ ทั้งโจทก์และผู้ร้องสอดขวนขวายดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานตามสมควรแล้ว เมื่อโจทก์และผู้ร้องสอดพยายามปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาแล้ว
แต่ไม่สามารถทำได้ การชำระหนี้จึงเป็นพ้นวิสัยบางส่วนเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ ซึ่งโจทก์ในฐานะลูกหนี้ที่ต้องส่งมอบพื้นที่ตามสัญญาสัมปทานให้ผู้ร้องสอด
ไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว โจทก์ย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้ที่ต้องส่งมอบพื้นที่ตามสัญญาสัมปทานดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องสอด ตามนัย ป.พ.พ. มาตรา ๒๑๙ วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น
การที่ผู้ร้องสอดไม่สามารถเข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นบนเกาะเหลาเหลียงเหนือได้เป็นกรณี
การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ โจทก์หา
มีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๒ ผู้ร้องสอดจึงต้องรับผิดชำระอากร
รังนกอีแอ่นเพียง ๙ เกาะ จาก 10 เกาะ
โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันของผู้ร้องสอด เกิน ๖๐ วัน นับแต่วันที่
ผู้ร้องสอดผิดนัด จำเลยจึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจน
ค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ของผู้ร้องสอดที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๖ โดยจำเลยต้องรับผิดชำระเงินอากรรังนกอีแอ่น
ที่ผู้ร้องสอดผิดนัดในแต่ละจำนวน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕
ต่อเดือนหรือเศษของเดือน จนถึงวันที่ครบกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้จำเลยชำระเงินภาษีอากรที่ค้างชำระและดอกเบี้ยผิดนัด รวมเป็นเงิน ๙,๑๐๙,๔๖๙.๒๐ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท นับจาก
วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลย ขอให้ผู้ร้องสอดรับผิดต่อโจทก์ในค่าอากรรังนกอีแอ่น
ที่ค้างชำระ ๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยรับผิดเพียงค่าอากรรังนกอีแอ่นที่ผู้ร้องสอดต้องชำระ
แก่โจทก์เท่านั้น
ศาลภาษีอากรกลางยกคำร้องสอด
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้รับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้พิจารณา
โจทก์ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอด ขอให้จำเลยกับผู้ร้องสอดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
แทนโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ และดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้หากต่อไปมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ให้โจทก์มีสิทธิ
คิดดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ
ให้ยกคำขอของผู้ร้องสอด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ และให้จำเลยกับผู้ร้องสอด
แต่ละคนใช้ค่าทนายความแทนโจทก์เป็นเงินคนละ ๒๕,๐๐๐ บาท
จำเลย และผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลาง
มีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ และดอกเบี้ย
ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้หากต่อไปมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ให้โจทก์มีสิทธิ
คิดดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ
ให้ยกคำขอของผู้ร้องสอด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองชั้นศาลแทนโจทก์ และให้จำเลย
กับผู้ร้องสอดแต่ละคนใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งสองชั้นศาลเป็นเงินคนละ ๒๕,๐๐๐ บาท
จำเลย และผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า วันที่
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๔ คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังมีหนังสือสอบถาม
ไปยังหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราว่า หากคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังจะให้สัมปทานเอกชนเก็บรังนกอีแอ่นพื้นที่เกาะเหลา เหลียงเหนือ (เฉพาะนอกเขต ๘ ไร่
ที่อุทยานแห่งชาติขอกันไว้) จะส่งผลกระทบต่อแผนการบริหารจัดการอย่างไร ต่อมาวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรามีหนังสือถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังว่า หากคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังจะให้สัมปทานเอกชนในการจัดเก็บรังนกอีแอ่นบนเกาะเหลาเหลียงเหนืออีก
ก็สามารถกระทำได้ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ ผู้ร้องสอดทำสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น ท้องที่
อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง กับโจทก์ โดยผู้ร้องสอดมีสิทธิเฉพาะการเก็บรังนกอีแอ่นในท้องที่ที่มี
รังนกอีแอ่นอยู่ตามธรรมชาติในท้องที่ ตำบลเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง รวม ๑๐ เกาะ
คือ เกาะเภตรา เกาะเหลาเหลียงใต้ เกาะเหลาเหลียงเหนือ (ยกเว้นพื้นที่ชายหาดและถ้ำน้ำ) เกาะตากใบ เกาะเบ็งกระโจมไฟ เกาะโต๊ะโหรยน้อย เกาะโต๊ะโหรยใหญ่ เกาะจังกาบ เกาะแดงน้อย และเกาะแดงใหญ่ มีกำหนด ๕ ปี นับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ผู้ร้องสอดตกลงชำระเงินอากรรังนกอีแอ่น รวมเป็นเงิน ๓๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ชำระในวันทำสัญญา ๓,๓๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ แบ่งชำระภายใน ๕ ปี ปีที่ ๑ ถึงปีที่ ๔ ภายในวันที่ ๓๐ มกราคม จำนวน ๓,๓๐๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๓๐ เมษายน จำนวน ๑,๙๘๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๓๐ กรกฎาคม จำนวน ๑,๓๒๐,๐๐๐ บาท
ของแต่ละปี และปีที่ ๕ จำนวน ๓,๓๐๐,๐๐๐ บาท ภายในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๓ หากไม่ชำระ
หรือผิดนัดชำระผู้ร้องสอดจะต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินอากรที่ต้องชำระ ผู้ร้องสอดต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ.๒๕๔๐ ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ฯลฯ อย่างเคร่งครัด ตามสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น ท้องที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระเงินให้โจทก์ตามสิทธิเรียกร้อง
ของโจทก์ที่มีต่อผู้ร้องสอดในวงเงินไม่เกิน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ อธิบดี
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกใบอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ ๙ เกาะ คือ เกาะเภตรา เกาะเหลาเหลียงใต้ เกาะตากใบ เกาะเบ็งกระโจมไฟ เกาะโต๊ะโหรยน้อย เกาะโต๊ะโหรยใหญ่ เกาะจังกาบ เกาะแดงน้อย และเกาะแดงใหญ่ มีกำหนดเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ผู้ร้องสอดมีหนังสือถึงโจทก์ ขอทราบแนวปฏิบัติ
ตามสัญญาสัมปทาน วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๙ โจทก์มีหนังสือตอบผู้ร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดต้องดำเนินการประสานเพื่อขออนุญาตเข้าเก็บรังนกอีแอ่นในพื้นที่เกาะเหลาเหลียงเหนือต่อกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อปฏิบัติตามสัญญาสัมปทาน หากยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้ร้องสอดสามารถ
ใช้สิทธิทางกระบวนการยุติธรรม ขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดตามสัญญาสัมปทาน วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙
ผู้ร้องสอดมีหนังสือสอบถามความคืบหน้าไปยังโจทก์ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ โจทก์มีหนังสือตอบว่า
ได้ทำหนังสือแจ้งขอทราบความคืบหน้าต่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แล้ว แต่ยังไม่ทราบความคืบหน้า วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๐ อัยการสูงสุดมีหนังสือตอบอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่า การที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังให้สัมปทานแก่ผู้ร้องสอด เป็นการให้สัมปทาน
เก็บรังนกอีแอ่นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ภายใต้พระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. ๒๕๔๐ และการที่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะยืนยันผลการพิจารณาออกใบอนุญาตให้ผู้รับอนุญาตตามสัญญาสัมปทานเข้าไปดำเนินกิจการเก็บรังนกอีแอ่นในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา
เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยเฉพาะ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดตรังในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไป
ในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรัง มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องสอดทราบวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐
วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐ โจทก์มีหนังสือทวงถามผู้ร้องสอดให้ชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาสัมปทาน ปีที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๓ งวด วันที่
๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังมีมติยกเลิกสัมปทานของผู้ร้องสอด และแจ้งให้ผู้ร้องสอดทราบเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ วันที่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ นายกองค์การบริหาร
ส่วนจังหวัดตรังมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระเงินตามหนังสือค้ำประกัน วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒
จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า ผู้ร้องสอดขอให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยและผู้ร้องสอดประการแรกว่า การที่ผู้ร้องสอด
ไม่สามารถเข้าเก็บรังนกอีแอ่นตามบัญชีรายชื่อเกาะที่มีนกอีแอ่นอยู่ตามธรรมชาติ ในท้องที่
อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง แนบท้ายสัญญาสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น ท้องที่อำเภอปะเหลียน
จังหวัดตรัง เลขที่ ๒/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ ทำให้โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น หรือไม่ เห็นว่า สัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสัญญาต่างตอบแทน
เมื่อเข้าทำสัญญาผู้ร้องสอดย่อมคาดหวังว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นตามธรรมชาติ
ตามสัญญาทั้ง ๑๐ เกาะ และโจทก์จะได้รับเงินตามสัญญาสัมปทานตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๖๙ แต่เนื่องจากสัญญาสัมปทาน ข้อ ๘ กำหนดว่า
ผู้ร้องสอดต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. ๒๕๔๐ ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ กฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ หรือแนวปฏิบัติ ของทางราชการทั้งที่กำหนดไว้แล้ว หรือที่จะกำหนดขึ้นใหม่ โดยเคร่งครัด ซึ่งระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๒ ข้อ ๓ กำหนดว่า ให้ผู้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นตามกฎหมายว่าด้วย
อากรรังนกอีแอ่น ซึ่งต้องเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่น ยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าไป
ในเขตอุทยานแห่งชาติต่ออธิบดีกรมป่าไม้ ... ตามแบบพิมพ์ที่กำหนดท้ายระเบียบนี้ ... ผู้ร้องสอด
ยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติต่ออธิบดีกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
รวม ๑๐ เกาะ แต่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าในอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่นเพียง ๙ เกาะ เห็นได้ว่า สัญญาสัมปทานระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดมีเงื่อนไข
ที่ผู้ร้องสอดต้องขออนุญาตต่ออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก่อนที่จะเข้า
อุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่น อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าในอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่นในเขตอุทยานแห่งชาติหรือไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์และผู้ร้องสอดไม่สามารถกำหนดเองได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเป็น
ผู้มีอำนาจผู้พิจารณา เมื่อโจทก์และผู้ร้องสอดพยายามดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำสัญญาสัมปทาน แต่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีหนังสือตอบว่า อธิบดี
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ
อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙
ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช การกำหนดพื้นที่ในการพิจารณาให้สัมปทานเก็บรังนกในพื้นที่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติบนเกาะหรือสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดิน เป็นสาระสำคัญที่คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นต้องพิจารณา
อย่างละเอียดรอบคอบ การจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แม้ว่าจะได้มีการเก็บ
ภาษีอากรให้แก่หน่วยงานรัฐแล้ว ก็ยังต้องพิจารณาถึงแหล่งรังนกอีแอ่น ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติ
และยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของพื้นที่ ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติอื่น
ในพื้นที่ด้วย ... เมื่ออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกใบอนุญาตให้ผู้ร้องสอด
เข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นในอุทยานแห่งชาติเพียง ๙ เกาะ และจากหนังสือที่มีการหารือระหว่างโจทก์
กับผู้ร้องสอดทั้งหมด ถือได้ว่า โจทก์และผู้ร้องสอดขวนขวายดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานตามสมควรแล้ว เมื่อโจทก์และผู้ร้องสอดพยายามปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาแล้ว
แต่ไม่สามารถทำได้ การชำระหนี้จึงเป็นพ้นวิสัยบางส่วนเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ ซึ่งโจทก์ในฐานะลูกหนี้ที่ต้องส่งมอบพื้นที่ตามสัญญาสัมปทานให้ผู้ร้องสอด
ไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว โจทก์ย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้ที่ต้องส่งมอบพื้นที่ตามสัญญาสัมปทานดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องสอด ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙ วรรคแรก โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่นดังที่ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ ส่วนที่โจทก์แก้อุทธรณ์ว่า เนื่องจากผู้ร้องสอดเข้าไปดำเนินการตระเตรียมพื้นที่เพื่อจัดเก็บรังนกอีแอ่นในพื้นที่เกาะเหลาเหลียงเหนือ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียน
กรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้ได้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นเข้าไป
ในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ และกฎระเบียบอื่น ๆ ตามสัญญาสัมปทาน ข้อ ๘ เห็นว่า โจทก์มี
นายวสันต์ พยานโจทก์เบิกความในเรื่องนี้ แต่ไม่มีพยานเอกสารใดระบุชัดแจ้งถึงเหตุที่กรมอุทยานแห่งชาติ
ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นในพื้นที่เกาะเหลาเหลียงเหนือว่า เกิดจากการที่ผู้ร้องสอดเข้าไปดำเนินการตระเตรียมพื้นที่เพื่อจัดเก็บรังนกอีแอ่นในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อพิจารณาหนังสือของอธิบดี
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อ้างเหตุที่ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าไปบนเกาะเหลาเหลียงเหนือว่า เป็นดุลพินิจเท่านั้น และไม่มีพยานหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า การที่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไม่ออกใบอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นบนเกาะเหลาเหลียงเหนือ
เป็นความผิดของผู้ร้องสอด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องสอดผิดสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่นเนื่องจากเข้าไปดำเนินการตระเตรียมพื้นที่ก่อน ดังนั้น การที่ผู้ร้องสอดไม่สามารถเข้าไป
ในอุทยานแห่งชาติเพื่อเก็บรังนกอีแอ่นบนเกาะเหลาเหลียงเหนือได้ จึงไม่ทำให้โจทก์หรือผู้ร้องสอด
เป็นฝ่ายผิดสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น ท้องที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เลขที่ ๒/๒๕๕๘ ลงวันที่
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องสอดต่อไปว่า ผู้ร้องสอดต้องรับผิดชำระอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่น ท้องที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เลขที่ ๒/๒๕๕๘ หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า การที่ผู้ร้องสอดไม่สามารถเข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นบนเกาะเหลาเหลียงเหนือได้เป็นการพ้นวิสัยบางส่วนเพราะพฤติการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ทำสัญญาสัมปทานแล้ว เมื่อการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ โจทก์หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่ เมื่อผู้ร้องสอดชำระค่าอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาสัมปทานทั้ง ๑๐ เกาะ ในวันทำ
สัญญา และปีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙ จึงต้องเอามาหักกับจำนวนที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ไว้ และผู้ร้องสอด
ต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระให้โจทก์ สำหรับปีที่ ๒ พ.ศ.๒๕๖๐ และปีที่ ๓ งวดที่ ๑ วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๒ ผู้ร้องสอดจึงต้องรับผิดชำระอากรรังนกอีแอ่น
รวม ๙ เกาะ ตามใบแนบท้ายใบอนุญาต ฉบับที่ ๒/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ จากทางนำสืบประกอบเอกสารที่คู่ความนำส่ง ฟังได้ว่า เกาะเหลาเหลียงเหนือเป็นเกาะใหญ่ จึงเห็นสมควรลด
ค่าอากรรังนกอีแอ่นให้แก่ผู้ร้องสอดร้อยละ ๑๕ ของเงินค่าอากรรังนกอีแอ่น ผู้ร้องสอดเข้าเก็บรังนกอีแอ่นตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ผู้ร้องสอดจึงต้องรับผิดชำระอากรรังนกอีแอ่น สำหรับเงินที่ชำระในวันทำสัญญา ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท ปีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๕,๖๑๐,๐๐๐ บาท ปีที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๕,๖๑๐,๐๐๐ บาท ปีที่ ๓ ประจำวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๘๓๐,๐๐๐ บาท ผู้ร้องสอดชำระเงิน
ในวันทำสัญญา ๓,๓๐๐,๐๐๐ บาท ปีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๖,๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙,๙๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ร้องสอดจึงต้องชำระค่าอากรรังนกอีแอ่นให้แก่โจทก์อีก ๖,๙๓๐,๐๐๐ บาท
พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินอากรที่ต้องชำระนับแต่วันผิดนัด คือ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐
จำนวน ๑,๖๘๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๑๒๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยต้องร่วมรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
ต่อโจทก์ หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อผู้ร้องสอดผิดนัด โจทก์ต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลย
ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด ผู้ร้องสอดผิดนัดชำระค่าอากรรังนกอีแอ่น ตั้งแต่วันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ จำนวน
๑,๖๘๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๑๒๒,๐๐๐ บาท และตั้งแต่วันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท เมื่อโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระเงินตามสัญญา
ค้ำประกันครั้งแรกวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จำเลยจึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย
และค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ของผู้ร้องสอดที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๖๘๖ โดยจำเลยต้องรับผิดชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นที่ผู้ร้องสอดผิดนัดในแต่ละจำนวน
นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือน จนถึงวันที่ครบกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัดในแต่ละจำนวน แต่ทั้งนี้ไม่เกินกว่าวงเงินค้ำประกัน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท
อนึ่ง ศาลภาษีอากรกลาง มิได้พิพากษาสั่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี จึงเป็นการไม่ถูกต้อง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๖๗ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๗
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องสอดชำระเงินแก่โจทก์ ๖,๙๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมเงินเพิ่ม
ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินอากรที่ต้องชำระนับแต่วันผิดนัด คือ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๖๘๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๑๒๒,๐๐๐ บาท และตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยร่วมรับผิดกับผู้ร้องสอดในต้นเงินพร้อม
เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับแต่วันที่ผู้ร้องสอดผิดนัด ตั้งแต่วันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๖๘๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๑๒๒,๐๐๐ บาท และตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๘๐๕,๐๐๐ บาท จนถึงวันครบกำหนด ๖๐ วัน ในแต่ละจำนวน แต่ไม่เกิน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท อกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์
ให้เป็นพับ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ.
(วีนัส นิมิตกุล - สรายุทธ์ วุฒยาภรณ์ - นรินทร ตั้งศรีไพโรจน์)
อานนท์ ทัศน์เอี่ยม - ย่อ
วรวัฒน์ กุสลางกูรวัฒน์ - ตรวจ