คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 298 - 336/2562 นายโภชน์พงค์ พูนศิริ กับพวก โจทก์
สหกรณ์ออมทรัพย์
ครูสุรินทร์ จำกัด จําเลย
พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20
ระเบียบเกี่ยวกับการให้เงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือนแก่เจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุ
หรือลาออก ถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จำเลยจะต้องปฏิบัติตาม หากจำเลยประสงค์
จะแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกระเบียบในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จำเลยจะต้องได้รับความยินยอม
จากลูกจ้าง หรือมิฉะนั้นจำเลยจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอน
แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เมื่อจำเลยออกระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. 2550 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 8
พ.ศ. 2561) ตัดสิทธิลูกจ้างที่เคยมีสิทธิเลือกรับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือนก็ได้ให้รับเงินบำเหน็จได้เพียงอย่างเดียว จึงขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม และเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสามสิบเก้าซี่งเป็นลูกจ้าง ระเบียบฉบับดังกล่าวในส่วนเกี่ยวกับการเกษียณอายุก่อนกำหนดและบำเหน็จรายเดือนจึงไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลังกับโจทก์
ทั้งสามสิบเก้า ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20
______________________________
โจทก์ทั้งสามสิบเก้าสำนวนฟ้องขอให้มีคำสั่งให้ระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) ไม่มีผล
ใช้บังคับย้อนหลังสำหรับโจทก์ทั้งสามสิบเก้า ให้จำเลยจ่ายบำเหน็จรายเดือนแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ ตามเดิม นับแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ จะถึงแก่กรรม และให้จำเลย
จ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ คนละ ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙
จำเลยทั้งสามสิบเก้าสำนวนให้การด้วยวาจา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๓ พิพากษาว่าระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่
และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) ในข้อ ๓๒ ในส่วนที่แก้ไขใหม่ ไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลังสำหรับโจทก์ทั้งสามสิบเก้า ให้จำเลยจ่ายบำเหน็จรายเดือนให้แก่
โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ ตามเดิมนับแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙
จะถึงแก่กรรม กับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ อีกคนละ ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๓ ฟังข้อเท็จจริง
และปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์
จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์ทั้งสามสิบเก้าเป็นลูกจ้างจำเลย ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างจำเลยโดยบางคนเกษียณอายุ บางคนลาออกจากงาน และบางคนเกษียณอายุก่อนกำหนด ส่วนโจทก์ที่ ๑๐ ถึงที่ ๓๙ ยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลย เดิมจำเลยมีระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐
(แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๗) ตามเอกสารหมาย จ.๕๐ ใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป และมีระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามที่ปรากฏในสำเนารายงานการประชุม เอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งในข้อ ๓๒ ระบุไว้ว่า ในกรณีเจ้าหน้าที่ลาออกตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖๔ (๒)
หรือเกษียณอายุตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖๗ และมีอายุการทำงานไม่น้อยกว่า ๒๕ ปี ให้มีสิทธิเลือกรับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความประสงค์ภายหลังได้ โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ ได้เลือกรับบำเหน็จรายเดือน และจำเลยได้จ่ายบำเหน็จรายเดือนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ ตลอดมา
จนถึงสิ้นเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ต่อมาคณะกรรมการดำเนินการ ชุดที่ ๖๑ ของจำเลยในการประชุม
กรณีพิเศษ ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้ออกระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) เพื่อแก้ไขระเบียบฉบับเดิม โดยมีการแก้ไขสาระสำคัญในข้อ ๓๒ ว่า ในกรณีเจ้าหน้าที่ลาออกตามที่ กำหนดไว้ในข้อ ๖๔ (๒) หรือเกษียณอายุตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖๗ ให้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ การทำเรื่องขอรับบำเหน็จ ให้ทำตามแบบและวิธีที่สหกรณ์กำหนด ตามระเบียบเอกสารหมาย จ.๕๒
และสำเนารายงานการประชุมเอกสารหมาย จ.๑ และจำเลยมีคำสั่งงดจ่ายบำเหน็จรายเดือนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย จ.๔๙ แล้ววินิจฉัยว่า จำเลย
ออกระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) แก้ไขระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด
ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๗)
ตัดสิทธิเจ้าหน้าที่ที่มีอายุการทำงานไม่น้อยกว่า ๒๕ ปี ในการเลือกที่จะรับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือน โดยให้รับเงินบำเหน็จเพียงอย่างเดียว เป็นการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในทางที่ไม่เป็นคุณ
แก่โจทก์ทั้งสามสิบเก้า ขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ ไม่มีผลผูกพัน
และไม่ใช้บังคับย้อนหลังกับโจทก์ทั้งสามสิบเก้า และกำหนดให้จำเลยจ่ายบำเหน็จรายเดือนและจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ พร้อมดอกเบี้ย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) ในส่วนเกี่ยวกับการเกษียณอายุก่อนกำหนดและบำเหน็จรายเดือนมีผลใช้บังคับย้อนหลังกับโจทก์
ทั้งสามสิบเก้าหรือไม่ เห็นว่า ระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๗) และ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๖๐) ซึ่งใช้บังคับขณะโจทก์ทั้งสามสิบเก้าเป็นลูกจ้างของจำเลย กำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์เพื่อใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของจำเลยเป็นการทั่วไป และเป็นระเบียบที่จำเลยในฐานะนายจ้างประกาศใช้บังคับเอง มิได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ระเบียบเกี่ยวกับการให้เงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือนแก่เจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุหรือลาออกตามระเบียบดังกล่าว
จึงถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จำเลยจะต้องปฏิบัติตาม หากจำเลยประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกระเบียบในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จำเลยจะต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง หรือมิฉะนั้นจำเลยจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ การที่จำเลยแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวโดยออกระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) มาใช้บังคับ โดยกำหนดในข้อ ๓๒ ว่า ในกรณีเจ้าหน้าที่ลาออกตามที่กำหนด ไว้ในข้อ ๖๔ (๒) หรือเกษียณอายุตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖๗ ให้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ย่อมเท่ากับตัดสิทธิลูกจ้างที่เคยมีสิทธิเลือกรับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือนก็ได้ให้รับเงินบำเหน็จได้เพียงอย่างเดียว จึงขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม และเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสามสิบเก้าซึ่งเป็นลูกจ้าง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า แม้การแก้ไขระเบียบดังกล่าวเป็นอำนาจของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์จำเลยฝ่ายเดียว แต่โจทก์ทั้งสามสิบเก้ามิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยแก้ไขระเบียบดังกล่าวและจำเลยไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก่อน ระเบียบที่ให้ยกเลิกบำเหน็จรายเดือนแก่เจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุหรือลาออกตามระเบียบดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามสิบเก้า ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ และการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลกระทบต่อโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ ที่จำเลยมีคำสั่ง
ให้งดจ่ายบำเหน็จรายเดือนตามสิทธิที่มีอยู่เดิม ส่วนโจทก์ที่ ๑๐ ถึงที่ ๓๙ นั้น เป็นเจ้าหน้าที่ที่อาจใช้สิทธิเลือกรับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จรายเดือนได้เมื่อลาออกหรือเกษียณอายุตามระเบียบฉบับเดิม แม้จะยังมิได้ลาออกหรือเกษียณอายุก็ย่อมได้รับผลกระทบจากการที่จำเลยแก้ไขระเบียบฉบับเดิมเช่นเดียวกัน ดังนั้น ระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุรินทร์ จำกัด ว่าด้วย เจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๖๑) ในส่วนเกี่ยวกับการเกษียณอายุก่อนกำหนดและบำเหน็จรายเดือนจึงไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลังกับโจทก์ทั้งสามสิบเก้า ที่ศาลแรงงานภาค ๓ พิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(โสภณ พรหมสุวรรณ – พิเชฏฐ์ รื่นเจริญ – ศราวุธ ภาณุธรรมชัย)
กิตติ เนตรประเสริฐชัย – ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ