คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2520 – 2524 นายประเสริฐ ยุทธยศ กับพวก โจทก์
/2560 บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจ
และผลิต จำกัดกับพวก จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 850
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5, 11/1
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนนึ่ง
เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อยอมรับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในวันที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างและตกลงที่จะไม่ฟ้องร้องคดีใด ๆ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ป.พ.พ. มาตรา 850 เมื่อไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงมีผลใช้บังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะและผูกพันโจทก์ที่ 2 ที่จะไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 อีก และเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเพียงผู้ประกอบการ และ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นนายจ้าง แต่ไม่ใช่นายจ้างโดยตรงของโจทก์ที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในเงินดังกล่าวด้วยเช่นกัน
อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าว่า บริษัท อ. ไม่มีวัตถุประสงค์ให้ประมูลงานขับรถ สัญญาบริการรับเหมาตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์เพิ่มเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งห้าซึ่งแตกต่างจากที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยไว้ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
การทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคหนึ่ง ต้องเป็นงานหลักเท่านั้น มิใช่งานที่มีผลต่อการผลิตหรือธุรกิจโดยอ้อม เมื่อการทำงานขับรถของโจทก์ทั้งห้านั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของพนักงานและสมาชิกในครอบครัวของพนักงานเท่านั้น โจทก์ทั้งห้าจึงมิได้ทำงานหลักของกิจการของจำเลยที่ 1 การทำงานของโจทก์ทั้งห้าจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งห้าตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องดำเนินการให้โจทก์ทั้งห้าได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในเงินค่าจ้างและโบนัส ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าอาหารล่วงเวลา และค่าแท็กซี่ชั่วโมงเร่งด่วน
______________________________
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๕ และเรียกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทั้งห้าสำนวนว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจัดสิทธิประโยชน์สวัสดิการและสภาพการจ้างโจทก์ทั้งห้าเช่นเดียวกับลูกจ้างโดยตรงของจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างรวมโบนัสแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนละ ๖๙๔,๒๖๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๑๒๓,๑๑๔ บาท ค่าล่วงเวลาแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนละ ๓,๓๓๒,๒๘๑.๖๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๔๘๑,๕๑๖.๗๐ บาท ค่าทำงานในวันหยุดแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนละ ๑,๐๕๑,๙๐๙ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๙๖,๐๖๖.๐๔ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒๗,๐๕๕ บาท โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ คนละ ๕๕,๑๐๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๑๐,๒๕๙.๕๐ บาท ค่าล่วงเวลาในวันหยุดแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒,๓๖๖,๗๙๕.๓๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ คนละ ๒,๓๐๙,๓๐๔.๙๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๒๑๖,๑๕๗.๘๖ บาท ค่าอาหารล่วงเวลาแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนละ ๔๑๖,๒๙๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๖๔,๗๙๐ บาท ค่าแท็กซี่ชั่วโมงเร่งด่วนแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนละ ๔๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท ค่าชดเชยรวมสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๑๘๓,๐๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า
จำเลยทั้งสองทั้งห้าสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ ว่า จำเลยทั้งสองต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ที่ ๒ ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง โดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการประสงค์จะลดจำนวนลูกจ้าง จึงแจ้งจำเลยที่ ๒ ซึ่งจัดให้โจทก์ที่ ๒ ไปทำงานกับจำเลยที่ ๑ ว่าไม่ประสงค์จะให้โจทก์ที่ ๒ ทำงานต่อไป จำเลยที่ ๒ จึงเลิกจ้างโจทก์ที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า และมิได้เป็นการเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ แต่เมื่อโจทก์ที่ ๒ ลงลายมือชื่อยอมรับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว โดยลงลายมือชื่อในวันที่จำเลยที่ ๒ เลิกจ้าง โจทก์ที่ ๒ จึงมีอิสระที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของตนเองได้ เมื่อมีข้อความระบุว่า “เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับพนักงาน บริษัทได้พยายามทุกวิธีทางในการหางานในตำแหน่งอื่น ๆ โดยพิจารณาถึงคุณสมบัติของท่านและตำแหน่งที่ว่างแล้ว ปรากฏว่าไม่อาจเสนองานในตำแหน่งใด ๆ ที่เหมาะสมให้กับท่านในขณะนี้ ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเลิกจ้างท่าน โดยบริษัทยินดีจ่ายเงินค่าชดเชยตามอายุงาน ๑๖๔,๒๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๖,๔๒๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๘๐,๖๒๐ บาท โดยบริษัทฯ จะดำเนินการจ่ายเงินผ่านบัญชีเงินเดือนของท่านภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ข้าพเจ้า นายโสภณ รับทราบและยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เมื่อข้าพเจ้าได้รับเงินตามที่ระบุไว้ ข้าพเจ้าจะไม่ฟ้องร้องคดีใด ๆ ทั้งสิ้น” เช่นนี้ ข้อตกลงจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลใช้บังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะและผูกพันโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ อีก อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วกรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าที่ว่าเงินประกันล่วงเวลาขั้นต่ำ ๕ ชั่วโมง ค่าโทรศัพท์และค่าแท็กซี่ชั่วโมงเร่งด่วน (ค่าเดินทางเหมาจ่าย) เป็นค่าจ้างที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ ๒ ด้วยหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนที่โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ความว่า บริษัทไอเอสเอส ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด ไม่มีวัตถุประสงค์ให้ประมูลงานขับรถหรือรับบริการขับรถขนส่งผู้โดยสาร สัญญาบริการระหว่างบริษัทดังกล่าวกับจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกับจำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ทั้งห้านั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าดังกล่าวเป็นการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงในส่วนที่บริษัทไอเอสเอส ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด ทำสัญญาบริการรับเหมากับจำเลยที่ ๑ นอกเหนือวัตถุประสงค์ของบริษัทเพื่อให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งห้าซึ่งแตกต่างจากที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยไว้ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าว่า จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งห้าหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาคนมาทำงานอันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางาน โดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบผู้ประกอบกิจการ และโดยบุคคลนั้นจะเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำงานหรือรับผิดชอบในการจ่ายค่าจ้างให้แก่คนที่มาทำงานนั้นหรือไม่ก็ตาม ให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของคนที่มาทำงานดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจ้างบริษัทไอเอสเอส ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด ให้บริการงานทำความสะอาดสำนักงาน งานทำสวน งานธุรการทั่วไป งานรับส่งพนักงานและเอกสารให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามสัญญาบริการรับเหมา แต่บริษัทไอเอสเอส ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด จ้างจำเลยที่ ๒ ให้จัดส่งโจทก์ทั้งห้าไปทำงานบริการขับรถให้แก่พนักงานของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้ประกอบกิจการมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาคนมาทำงานอันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางาน สัญญาบริการรับเหมาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทไอเอสเอส ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด มิใช่สัญญาจ้างทำของ แต่การทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการที่จะให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของคนที่มาทำงานต้องเป็นงานหลักเท่านั้น มิใช่งานที่มีผลต่อการผลิตหรือธุรกิจโดยอ้อม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การทำงานขับรถของโจทก์ทั้งห้านั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของพนักงานและสมาชิกในครอบครัวของพนักงานเท่านั้น โจทก์ทั้งห้าจึงมิได้ทำงานหลักของกิจการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสำรวจ พัฒนา ผลิต กลั่น เก็บ บรรทุก ขนถ่าย และขนส่งปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติแต่อย่างใด ดังนี้การทำงานของโจทก์ทั้งห้าย่อมมิใช่ส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๑ ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งห้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑/๑ วรรคหนึ่ง จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องดำเนินการให้โจทก์ทั้งห้าได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในเงินค่าจ้างและโบนัส ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าอาหารล่วงเวลาและค่าแท็กซี่ชั่วโมงเร่งด่วนตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.
(วัฒนา สุขประดิษฐ์ – อนันต์ คงบริรักษ์ – สุวรรณา แก้วบุตตา)
กิตติ เนตรประเสริฐชัย - ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ