อุทธรณ์ที่ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
หมายเลขคดีดำที่ ร.313/2560 นายวันลักษณ์ ชีวะถาวร โจทก์
หมายเลขคดีแดงที่ 725/2560 การไฟฟ้านครหลวง จำเลย
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 42/1 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยนำเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชย เงินโบนัส และค่าตอบแทนพิเศษ ที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ เนื่องจากโจทก์สมัครเข้าโครงการร่วมใจจากการไฟฟ้านครหลวง ปี 2558 ไปชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด แทนโจทก์ ด้วยเหตุที่โจทก์เป็นหนี้สหกรณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณา พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 42/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อสมาชิกได้ทำความยินยอมเป็นหนังสือไว้กับสหกรณ์ ให้ผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานรัฐ... ที่สมาชิกปฏิบัติหน้าที่อยู่หักเงินเดือนหรือค่าจ้างหรือเงินอื่นใด ที่ถึงกำหนดจ่ายแก่สมาชิกนั้น เพื่อชำระหนี้หรือภาระผูกพันอื่นที่มีต่อสหกรณ์ ให้แก่สหกรณ์ตามจำนวนที่สหกรณ์แจ้งไปจนกว่าหนี้หรือภาระผูกพันนั้นจะระงับสิ้นไป ให้หน่วยงานนั้นหักเงินดังกล่าวและส่งเงินที่หักไว้นั้นให้แก่สหกรณ์โดยพลัน วรรคสอง บัญญัติว่า การแสดงเจตนายินยอมตามวรรคหนึ่ง มิอาจจะถอนคืนได้เว้นแต่สหกรณ์ให้ความยินยอม ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำหนังสือถึงจำเลยความว่า เมื่อโจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลย โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำเงินตอบแทน หรือเงินอื่นใดที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยไปชำระหนี้เงินกู้จากสหกรณ์แทนโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ถึงแม้ว่าหนี้ดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือโจทก์ยังมิได้ผิดสัญญาต่อสหกรณ์ก็ตาม เพราะเป็นการชำระหนี้ในกรณีที่โจทก์ต้องพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยตามความยินยอมของโจทก์ ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า หนังสือยินยอมไม่สมบูรณ์เพราะมีการปลอมลายมือชื่อโจทก์และโจทก์ไม่เคยยินยอม เห็นว่า แม้วันที่โจทก์ทำหนังสือให้ความยินยอม โจทก์ยังไม่ได้กรอกข้อความวันที่ระบุยอดหนี้และจำนวนเงินที่เป็นหนี้ไว้ การที่สหกรณ์กรอกข้อความเพิ่มเติมระบุจำนวนหนี้ที่โจทก์ค้างชำระในหนังสือให้ความยินยอมดังกล่าวย่อมถือเป็นกรณีที่โจทก์ได้ให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้าเพื่อให้สหกรณ์กรอกตัวเลขที่เป็นหนี้ได้เมื่อมีการคำนวณยอดหนี้กันในอนาคต อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้ดูแลโครงการร่วมใจจากการไฟฟ้านครหลวง เบิกความในทำนองว่า เงินที่โจทก์จะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสหกรณ์ สหกรณ์ไม่มีสิทธิอายัดเงินดังกล่าวนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามที่พยานโจทก์เบิกความ ดังนั้นอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2542 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 45,300 บาท ค่าชดเชย 453,000 บาท ค่าเงินโบนัส 90,600 บาท และค่าตอบแทนพิเศษ 1,019,880 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 โจทก์เคยเป็นพนักงานของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเสมียน 4 เขตบางขุนเทียน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 45,300 บาท เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558 จำเลยออกประกาศเรื่อง โครงการร่วมใจจากการไฟฟ้านครหลวง ปี 2558 ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2558 โจทก์สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตามสำเนาแนบสมัครโครงการร่วมใจจากการไฟฟ้านครหลวง ปี 2558 จำเลยมีคำสั่งลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 อนุมัติให้โจทก์และบุคคลอื่นที่เข้าร่วมโครงการลาออกด้วยความสมัครใจ มีผลให้โจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558 โดยโจทก์มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากจำเลย เป็นเงินค่าตอบแทนพิเศษ 1,019,880 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 28 ธันวาคม 2558 กับค่าชดเชย 453,000 บาท เงินโบนัส 90,600 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ไม่ได้ใช้สิทธิ 45,300 บาท รวมเป็นเงิน 588,900 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 26 มกราคม 2559 รวมเป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับทั้งสิ้น 1,608,780 บาท สหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด มีหนังสือลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 แจ้งจำเลยเพื่อให้นำเงินที่โจทก์จะได้รับจากจำเลยเมื่อพ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยไปชำระหนี้แก่สหกรณ์ดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นหนี้อยู่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 เป็นเงิน 7,223,624.42 บาท โดยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยหักเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยนำไปชำระหนี้เงินที่โจทก์กู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด หลังจากนั้นจำเลยนำเงินซึ่งถึงกำหนดจ่ายให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 และวันที่ 26 มกราคม 2559 ดังกล่าว ส่งให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่จำเลยนำเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชย เงินโบนัส และค่าตอบแทนพิเศษ ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยไปชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด เป็นการกระทำโดยชอบหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ทำนองว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 42/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อสมาชิกได้ทำความยินยอมเป็นหนังสือไว้กับสหกรณ์ให้กับผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานของรัฐ...ที่สมาชิกปฏิบัติหน้าที่อยู่หักเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือเงินอื่นใด ที่ถึงกำหนดจ่ายแก่สมาชิกนั้น เพื่อชำระหนี้หรือภาระผูกพันอื่นที่มีต่อสหกรณ์ ให้แก่สหกรณ์ตามจำนวนที่สหกรณ์แจ้งไป จนกว่าหนี้หรือภาระผูกพันนั้นจะระงับสิ้นไป ให้หน่วยงานนั้นหักเงินดังกล่าวและส่งเงินที่หักไว้นั้นให้แก่สหกรณ์โดยพลัน วรรคสอง บัญญัติว่า การแสดงเจตนายินยอมตามวรรคหนึ่ง มิอาจจะถอนคืนได้ เว้นแต่สหกรณ์ให้ความยินยอม ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ได้ทำหนังสือถึงจำเลยความว่า ในกรณีที่โจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลย โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำเงินตอบแทน เงินตอบแทนพิเศษ เงินชดเชย เงินโบนัส เงินบำเหน็จ เงินค้างรับ หรือเงินอื่นใดที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับจากจำเลยไปชำระหนี้ที่โจทก์กู้ยืมเงินจากสหกรณ์แทนโจทก์ได้ ตามหนังสือยินยอมให้จำเลยหักเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยนำไปชำระหนี้เงินที่โจทก์กู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด ดังนั้น การที่จำเลยนำเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชย เงินโบนัส และค่าตอบแทนพิเศษ ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยไปชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 42/1 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังกล่าว ถึงแม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระ หรือโจทก์ยังมิได้ผิดสัญญาต่อสหกรณ์ก็ตาม เพราะเป็นการชำระหนี้ในกรณีที่โจทก์ต้องพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลย ตามความยินยอมของโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหานี้มานั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ต่อมาว่าหนังสือยินยอมให้จำเลยหักเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยนำไปชำระหนี้เงินที่โจทก์กู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง จำกัด ไม่สมบูรณ์เพราะมีการปลอมลายมือชื่อโจทก์และโจทก์ไม่เคยให้ความยินยอม เห็นว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 อันเป็นวันที่โจทก์ทำหนังสือดังกล่าว ยังมิได้มีการกรอกข้อความวันที่ระบุยอดหนี้และจำนวนเงินที่เป็นหนี้ไว้ การที่สหกรณ์กรอกข้อความเพิ่มเติมระบุจำนวนหนี้ที่โจทก์ค้างชำระ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ในหนังสือยินยอมของโจทก์ดังกล่าว ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ได้ให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้าเพื่อให้สหกรณ์กรอกตัวเลข ที่เป็นหนี้ได้เมื่อมีการคำนวณยอดหนี้กันในอนาคต คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางในปัญหานี้ชอบแล้วเช่นกัน อุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับที่โจทก์อุทธรณ์อีกว่า มีพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานผู้ดูแลโครงการร่วมใจจากการไฟฟ้านครหลวง เบิกความเป็นทำนองว่า เงินที่โจทก์จะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสหกรณ์สหกรณ์ไม่มีสิทธิอายัดเงินดังกล่าว เห็นว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามที่พยานโจทก์เบิกความ ดังนั้นอุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.
(สุพัฒน์ พงษ์ทัดศิริกุล - พิเชฏฐ์ รื่นเจริญ - ศราวุธ ภาณุธรรมชัย)
ศาลแรงงานกลาง นางนฤมล รัตนไพศาล
นายสุเจตน์ สถาพรนานนท์ ผู้ช่วยฯ/ย่อสั้น
นายสุโรจน์ จันทรพิทักษ์ ผู้พิพากษาฯ ประจำกองผู้ช่วยฯ/ตรวจย่อสั้น/ตรวจย่อยาว
นางศิวานนท์ แนมใส นิติกร/ย่อยาว
นางสาวมนัสนันท์ อิ่มใจ พิมพ์