คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 641/2560     นางปราณี  สุนทรารักษ์              โจทก์

                                                                        ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)      จำเลย

 

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

 

        ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม แต่เมื่อโจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามใบรับเงินค่าชดเชยและเงินอื่น ๆ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่ระบุว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือเงินใด ๆ จากจำเลยซึ่งรวมถึงค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว โดยศาลแรงงานกลางได้ฟังคำเบิกความของพยานจำเลยที่ยืนยันว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกร้องเงินใด ๆ จากจำเลย ประกอบกับคำเบิกความของโจทก์ที่รับว่าได้ลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลง ตามใบรับเงินค่าชดเชยและเงินอื่น ๆ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งระบุข้อความดังกล่าว ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์หาได้มีเจตนาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่ แต่จำเลยแฝงข้อความสละสิทธิในเอกสารเป็นการบังคับโจทก์โดยปริยายให้ยอมรับสิ่งที่ไม่ประสงค์ โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

______________________________

 

          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 470,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

          ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2545 จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเจ้าหน้าที่อาวุโส สังกัด Retail Credit ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 36,200 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นหนังสือโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปตามหนังสือเลิกจ้าง แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม แต่เมื่อโจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามใบรับเงินค่าชดเชยและเงินอื่น ๆ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่ระบุว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือเงินใด ๆ จากจำเลย ซึ่งรวมถึงค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว โดยศาลแรงงานกลางได้ฟังคำเบิกความของพยานจำเลยที่ยืนยันว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเรียกร้องเงินใด ๆ จากจำเลย ประกอบกับคำเบิกความของโจทก์ที่รับว่าได้ลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงตามใบรับเงินค่าชดเชยและเงินอื่นๆ ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์หาได้มีเจตนาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่ แต่จำเลยแฝงข้อความสละสิทธิในเอกสารเป็นการบังคับโจทก์โดยปริยายให้ยอมรับสิ่งที่ไม่ประสงค์โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย

          พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์.

 

(โกสินทร์  ฤทธิรงค์ - อารีรัตน์  วงศ์ศักดิ์มณี - สัญชัย  ลิ่มไพบูลย์)

 

วิฑูรย์  ตรีสุนทรรัตน์ - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ