คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 146/2560      นางดารารัตน์  ทรงทรัพย์วัฒนา     โจทก์

                                                                         บริษัทซันโค โกเซ เทคโนโลยี่

                                                                         (ประเทศไทย) จำกัด                 จำเลย

 

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49

 

          การที่ธุรกิจของนายจ้างประสบภาวะขาดทุนแต่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ จึงได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนรวมทั้งการปรับโครงสร้างองค์กรด้วยการลดจำนวนพนักงานลงโดยมีโครงการให้เฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยกำหนดให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้างมากกว่าที่กฎหมายกำหนด แม้นายจ้างมีสิทธิที่จะกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดได้ แต่การที่ลูกจ้างคนใดจะเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดหรือไม่ย่อมเป็นการตัดสินใจของลูกจ้าง เมื่อปรากฏว่าลูกจ้างที่เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานมีจำนวนไม่ครบจำนวนตามที่นายจ้างต้องการ และนายจ้างมีความจำเป็นที่จะลดจำนวนพนักงานลงอีกโดยวิธีการเลิกจ้าง นายจ้างจึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่จะเลิกจ้างลูกจ้างส่วนที่เหลือใหม่ให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดใช้เฉพาะกับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานมิได้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในการพิจารณาเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมด การที่นายจ้างอ้างเหตุประสบภาวะขาดทุนและอ้างว่าให้โอกาสลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดแล้ว แต่ไม่เข้าร่วมโครงการมาเป็นเหตุเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49

______________________________

 

          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างและตำแหน่งที่ไม่ต่ำกว่าเดิม หากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 1,536,618 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

          ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 14 มีนาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าศาลแรงงานภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งสุดท้าย พนักงานเดินเอกสาร ได้รับค่าจ้างเดือนละ 16,347 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 28 ของเดือน โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของจำเลยเมื่อปี 2558 และปี 2559 กิจการของจำเลยประสบภาวะขาดทุนตามสำเนาแบบนำส่งงบการเงินจำเลยจึงปรับโครงสร้างองค์กรโดยลดจำนวนลูกจ้างลงเพื่อให้เหมาะสม โดยประกาศโครงการสมัครใจลาออกครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 มีลูกจ้างเข้าร่วมโครงการจำนวน 176 คน ต่อมาจำเลยและสหภาพแรงงานมีข้อพิพาทแรงงานกันถึงขั้นปิดงานมิให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเข้าทำงานระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2558 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 แล้วต่อมาจำเลยประกาศโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยกำหนดให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเข้าร่วมโครงการ 413 คน มีลูกจ้างเข้าร่วมโครงการดังกล่าว 387 คนส่วนที่เหลืออีก 26 คน รวมทั้งโจทก์ไม่เข้าร่วมด้วยจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ให้เหตุผลว่าจำเลยประสบภาวะขาดทุนตามสำเนาหนังสือเลิกจ้าง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่าได้จำเลยจึงกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนรวมถึงมาตรการลดจำนวนพนักงานลงเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่ลดน้อยลง โดยจำเลยเสนอให้ลูกจ้างสมัครเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ซึ่งจะได้รับเงินค่าตอบแทนสูงกว่าอัตราค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานแต่โจทก์ไม่สมัครใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ ถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมต่อโจทก์แล้ว เห็นว่า การที่ธุรกิจของนายจ้างประสบภาวะขาดทุนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้จนต้องปิดกิจการลงอันมีผลทำให้ต้องเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมด การเลิกจ้างลูกจ้างในลักษณะนี้ย่อมเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแก่ลูกจ้างแต่หากธุรกิจของนายจ้างยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้เพียงแต่ต้องมีการปรับปรุงองค์กรโดยลดจำนวนลูกจ้างลงด้วยวิธีการเลิกจ้างบางส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการที่จะเลิกจ้างลูกจ้างบางส่วนย่อมเป็นสาระสำคัญที่จะต้องนำมาพิจารณาทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง กรณีของจำเลยแม้จะประสบภาวะขาดทุนแต่จำเลยยังคงดำเนินกิจการอยู่เพียงแต่มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนรวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรด้วยการลดจำนวนพนักงานลงโดยมีโครงการสมัครใจลาออกและโครงการให้ลูกจ้างเกษียณอายุก่อนกำหนด กำหนดให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้างมากกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ โครงการทั้งสองดังกล่าวจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดจำเลยกำหนดคุณสมบัติและลูกจ้างที่จะเข้าร่วมโครงการจำนวน 413 ซึ่งลูกจ้างทั้งหมดล้วนเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน แต่การที่ลูกจ้างคนใดจะเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดหรือไม่ย่อมเป็นการตัดสินใจของลูกจ้างเอง จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างหามีสิทธิบังคับให้ลูกจ้างที่มีคุณสมบัติตามเข้าร่วมโครงการไม่ เมื่อปรากฏว่าลูกจ้างที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการไม่ครบจำนวนตามที่จำเลยต้องการ และจำเลยมีความจำเป็นที่จะต้องลดจำนวนพนักงานลงอีกโดยวิธีการเลิกจ้าง จำเลยก็ต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่จะเลิกจ้างลูกจ้างส่วนที่เหลือใหม่ให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างดังที่ได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น แต่จะนำคุณสมบัติของลูกจ้างซึ่งกำหนดให้เฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานมาเป็นเหตุเลิกจ้างลูกจ้างหาได้ไม่ เพราะมิได้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาเลิกจ้างกับลูกจ้างทั้งหมด จึงย่อมไม่เป็นธรรมกับโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุประสบภาวะขาดทุนและได้ให้โอกาสโจทก์เข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

                   พิพากษายืน.

 

(ดำรงค์  ทรัพยผล - อนันต์  คงบริรักษ์ - สุวรรณา  แก้วบุตตา)

 

อิสรา  วรรณสวาท - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ