คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ  นาย ว. กับพวก                                โจทก์       

         ที่ วยช 87/2567                               นางสาว ส.                                    จำเลย

 

            โจทก์ทั้งสองฟ้องขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย
โดยอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของนาย ป. และนาง น. ซึ่งเป็นบิดามารดาของโจทก์ทั้งสอง
กับจำเลย นาย ป. และนาง น. จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าระบุยกที่ดิน
พร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองและจำเลย แต่ปรากฏว่า หลังจากจดทะเบียนหย่า นาย ป.
ทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนาง น. พินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ป. จึงต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าโดยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทร่วมกับจำเลย จำเลยให้การว่า นาย ป. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท
จึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์ไม่ได้ถือเอาประโยชน์
จากข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง กรณี
จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์มรดกและการแบ่งมรดก ซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ ๖
ว่าด้วยมรดก แม้จะมีข้อกล่าวอ้างเรื่องสินสมรสแต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตาม ป.พ.พ. บรรพ ๕ คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว ตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชน
และครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓)

______________________________

         โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า นาย ป. และนาง น. เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสกัน
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๓ มีบุตรด้วยกันคือ โจทก์ทั้งสองและจำเลย ระหว่างสมรสนาย ป.
กับนาง น. ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาท ตำบลสีกัน (บ้านใหม่) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) จังหวัดพระนคร
พร้อมสิ่งปลูกสร้าง แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยมีชื่อนาย ป. เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์
เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๐ นาย ป. และนาง น. จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในเรื่องทรัพย์สินท้ายทะเบียนการหย่าว่า ข้อ ๔ ข้อตกลงในเรื่องทรัพย์สินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย ป. ยกให้บุตรทั้งสามคน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ นาย ป. ถึงแก่ความตาย จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก โดยอ้างในคำร้องว่า
นาย ป. ไม่ได้ทำพินัยกรรม ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ต่อมาโจทก์ทั้งสองทราบว่า
นาย ป. ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ระบุยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก โดยปราศจากความยินยอมของนาง น. พินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ายังมีผลใช้บังคับ จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ป. มีหน้าที่แบ่งปันที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำนวน ๒ ใน ๓ ส่วน และโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวแก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิ
ของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสอง
ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยระบุส่วนโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ถือกรรมสิทธิ์คนละ ๑ ใน ๓ ของที่ดินและบ้านดังกล่าว หากจำเลยไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้ชดใช้ราคาที่ดินและบ้านเป็นเงินจำนวน ๔๒๙,๑๒๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ยินยอมขอให้โจทก์ทั้งสอง

 

หรือจำเลยทำการประมูลราคากันเอง หรือให้แต่ละฝ่ายเสนอขายแก่บุคคลภายนอก หรือขายทอดตลาด
นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินและบ้านมาแบ่งกันระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลย คนละ ๑ ใน ๓ ของมูลค่าที่ดินและบ้านดังกล่าว

         จำเลยให้การว่า บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระบุโดยชัดแจ้งว่านาย ป. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโจทก์ทั้งสองทราบถึงบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า
แต่ไม่ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า ซึ่งนับตั้งแต่วันทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า จนถึงวันที่นาย ป. ถึงแก่ความตาย เป็นระยะเวลาประมาณ ๑๗ ปี เกินกว่า ๑๐ ปี สิทธิเรียกร้องตามสัญญาบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าจึงขาดอายุความ และเมื่อศาลแพ่ง
มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกให้ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามบันทึกข้อตกลงการหย่าดังกล่าวแต่อย่างใด กลับปล่อยระยะเวลาล่วงเลยมาประมาณ ๗ ปี เกินกว่า ๕ ปี
สิทธิเรียกร้องของโจทก์ทั้งสองที่จะฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกจึงขาดอายุความ เมื่อวันที่นาย ป.
ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๒ นาย ป. ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท มีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยได้
โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนาง น. ดังนั้นจำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามพินัยกรรมฉบับดังกล่าว จึงไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง รวมถึงคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ไม่ชัดเจนว่าบ้านตั้งอยู่บนที่ดินแปลงใด และโจทก์ทั้งสองนำราคาประเมินของที่ดินทั้ง ๒ โฉนดมารวมกัน
ซึ่งเกินคำขอ ไม่เป็นธรรมต่อจำเลย ประกอบกับถ้าบ้านตั้งอยู่บนที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าวยกให้แก่จำเลย จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

         ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงให้รอการพิจารณาพิพากษาไว้ชั่วคราวแล้วเสนอปัญหาดังกล่าว
ให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑

         วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “คดีครอบครัว” หมายความว่า คดีแพ่งที่ฟ้องหรือร้องขอต่อศาลหรือกระทำการใด ๆ
ในทางศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัวซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมาย
ว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ดังนั้น คดีที่เกี่ยวด้วยการสมรส
สิทธิและหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา บิดามารดาและบุตรไม่ว่าในทางใด ซึ่งพิพาทกัน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ทั้งหมด คดีที่เกี่ยวด้วยสถานะและความสามารถ
ของบุคคลเกี่ยวกับครอบครัวหรือส่วนได้เสียของผู้เยาว์ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพ ๑ มาตรา ๒๑ ถึง ๒๘, ๓๒, ๔๓ และ ๔๔ และในบรรพ ๖ มาตรา ๑๖๑๐, ๑๖๑๑, ๑๖๘๗
และ ๑๖๙๒ รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัวหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัวย่อมถือเป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓) คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียน
ใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยโดยอ้างว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของนาย ป.
และนาง น. ซึ่งเป็นบิดามารดาของโจทก์ทั้งสองกับจำเลย นาย ป. และนาง น. จดทะเบียนหย่า

 

และทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าระบุยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองและจำเลย แต่ปรากฏว่า หลังจากจดทะเบียนหย่า นาย ป. ทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนาง น. พินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ป. จึงต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าโดยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทร่วมกับจำเลย จำเลยให้การว่า นาย ป. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์ไม่ได้ถือเอาประโยชน์จากข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์มรดกและการแบ่งมรดก
ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๖ ว่าด้วยมรดก แม้จะมีข้อกล่าวอ้าง
เรื่องสินสมรสแต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓)

         วินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว

วินิจฉัย ณ วันที่ ๕ เดือน สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

ประกอบ ลีนะเปสนันท์

(นายประกอบ ลีนะเปสนันท์)

ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

 

 

อุษา จิวะชาติ - ย่อ

สัญชัย ภักดีบุตร - ตรวจ