คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ  นางสาว อ.                                        โจทก์       

         ที่ วยช 100/2567                             นาย ด.                                           จำเลย

         คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่เจ้าหนี้ผู้ให้เช่าซื้อแทนจำเลยผู้เช่าซื้อ
จึงใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเพื่อเรียกเงินที่ได้ชำระไปแล้วคืน จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างสมรสโจทก์กับจำเลยตกลงเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเพื่อนำมาใช้ร่วมกันในครอบครัว สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นสินสมรส
หนี้อันเกิดจากการผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่โจทก์กับจำเลย
ในฐานะสามีภริยาเป็นหนี้ร่วมกัน โจทก์มีสิทธิเรียกจำเลยให้รับผิดไม่เกินกึ่งหนึ่ง จึงเป็นกรณีมีข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสและความรับผิดในหนี้หลังจากการสมรส
สิ้นสุดลง ซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ ๕ มาตรา ๑๔๘๘ ถึง ๑๔๙๐ และ ๑๕๓๕ คดีนี้จึงเป็น
คดีครอบครัว  

______________________________

 

         โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากบริษัท ล. โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อ ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลย ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ บริษัท ล. ฟ้องโจทก์และจำเลย
ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ศาลจังหวัดขอนแก่นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยชำระเงินแก่บริษัท ล. จากนั้นบริษัท ล. ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ที่มีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อนำออกขายทอดตลาด โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาและค่าธรรมเนียมแทนจำเลยเป็นเงิน 371,569.54 บาท บริษัท ล. จึงถอนการบังคับคดี จำเลยในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ ถึงวันฟ้อง โจทก์ทวงถามให้จำเลย
ชำระเงินคืนแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 499,038.22 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วน

         จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างสมรสโจทก์
กับจำเลยตกลงเช่าซื้อรถยนต์พิพาทกับบริษัท ล. เพื่อนำมาใช้ร่วมกันในครอบครัว โดยจำเลยเป็นผู้เช่าซื้อ ส่วนโจทก์ให้ความยินยอมในฐานะภริยาและเป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อ สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อได้มาระหว่างที่โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสจึงเป็นสินสมรส หนี้ที่เกิดจากการผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจึงเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่โจทก์กับจำเลยในฐานะสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน จำเลยต้องรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 185,784.50 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยกับจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญากับโจทก์ และมูลหนี้ตามคำฟ้องเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสซึ่งอยู่ในเขตอำนาจ
ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตและไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

 

 

 

 

         ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดขอนแก่นพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว แล้วเสนอปัญหาดังกล่าวให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑

         วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “คดีครอบครัว” หมายความว่า คดีแพ่งที่ฟ้องหรือร้องขอต่อศาลหรือกระทำการใด ๆ ในทางศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัว ซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ดังนั้น คดีที่เกี่ยวด้วยการสมรส สิทธิและหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา บิดามารดาและบุตรไม่ว่าในทางใด
ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ทั้งหมด คดีที่เกี่ยวด้วยสถานะ
และความสามารถของบุคคลเกี่ยวกับครอบครัวหรือส่วนได้เสียของผู้เยาว์ ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพ ๑ มาตรา ๒๑ ถึง ๒๘, ๓๒, ๔๓ และ ๔๔ และในบรรพ ๖
มาตรา ๑๖๑๐, ๑๖๑๑, ๑๖๘๗ และ ๑๖๙๒ รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัวหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ย่อมถือเป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓)
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้
ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่เจ้าหนี้ผู้ให้เช่าซื้อแทนจำเลยผู้เช่าซื้อ
จึงใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเพื่อเรียกเงินที่ได้ชำระไปแล้วคืน จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างสมรสโจทก์กับจำเลยตกลง
เช่าซื้อรถยนต์พิพาทเพื่อนำมาใช้ร่วมกันในครอบครัว สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นสินสมรส
หนี้อันเกิดจากการผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่โจทก์กับจำเลยในฐานะสามีภริยาเป็นหนี้ร่วมกัน โจทก์มีสิทธิเรียกจำเลยให้รับผิดไม่เกินกึ่งหนึ่ง จึงเป็นกรณีมีข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสและความรับผิดในหนี้หลังจากการสมรสสิ้นสุดลง
ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ มาตรา ๑๔๘๘ ถึง ๑๔๙๐ และ ๑๕๓๕ คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัว ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓)

         วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว

วินิจฉัย ณ วันที่ ๑ เดือน สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖7

 

ประกอบ ลีนะเปสนันท์

(นายประกอบ ลีนะเปสนันท์)

ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

 

 

ณิศรา กิจคณาศิริ - ย่อ

สัญชัย ภักดีบุตร - ตรวจ