คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2247/2567 ธนาคาร ท.                              โจทก์

                                                                      บริษัท บ.                                ผู้ร้อง

                                                                      เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์          ผู้คัดค้าน

                                                                 นาย ส. กับพวก                        จำเลย

พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91, 95, 96

         ตามบทบัญญัติ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 และมาตรา ๙๖ การใช้สิทธิ
เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันใดนั้น เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิที่จะเลือกใช้สิทธิตามมาตรา ๙๕
หรือมาตรา ๙๖ มาตราใดมาตราหนึ่งเพียงมาตราเดียวโดยอาจเลือกถือสิทธิเหนือทรัพย์สิน
อันเป็นหลักประกันของตนตามมาตรา ๙๕ โดยไม่มาขอรับชำระหนี้
ในคดีล้มละลาย หรืออาจใช้สิทธิ
ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตามมาตรา ๙๖ อย่างใดอย่าง
หนึ่งเพียงอย่างเดียว หากเจ้าหนี้
มีประกันเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันใด
ตามมาตรา ๙๖ แล้ว
ก็ย่อมหมดสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้นตามมาตรา
๙๕ อีกต่อไป
และต้องขอรับชำระหนี้ทั้งหมดของตนที่มีเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้นภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา ๙๑ การที่ผู้ร้อง
นำหนี้
ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1๙๒/2546 ไปยื่นคำขอรับชำระ
หนี้
ตามมาตรา ๙๖ (๓) เหนือที่ดิน ๓ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะถือสิทธิ
เหนือที่ดินทั้ง ๓ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองดังกล่าวตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป แม้ในการยื่น
คำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) ผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิจำนองลำดับที่ ๒ ซึ่งเป็นประกันหนี้
ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1๙๒/2546 ส่วนการยื่นคำร้อง
ขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ คดีนี้ ผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิจำนองลำดับที่ ๑ ซึ่งเป็นประกันหนี้
ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1๔๕๒/2546 ก็ตาม แต่เป็นกรณีผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแปลงเดียวกัน เมื่อผู้ร้องเลือกใช้สิทธิในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๖ (๓) แล้ว ผู้ร้องจักต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ของตนทั้งหมด
ที่มีทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันเข้ามาในคดีล้มละลาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์
หลักประกันโดยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เหนือที่ดินจำนองทั้ง ๓ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป

______________________________

         คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗ และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลายเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547

         ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1452/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95

         ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

         ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

         ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกัน
ในชั้นอุทธรณ์ฟังได้ว่า ผู้ร้องเดิมชื่อว่าบริษัท ธ. เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ คดีนี้เป็นจำเลยที่ ๒
ต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ๒ คดี ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3943 และ 5076
ตำบลลำลูกา (คลองหกวาสายล่างฝั่งใต้) อำเภอลำลูกา (มีนบุรี) จังหวัดปทุมธานี (มีนบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีของบริษัท ช. จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 192/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี และเป็นประกันการชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชี
กับหนี้กู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท พ.จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๔๕๒/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ระหว่างจำนอง คือ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ 2539 ทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5076 ถูกแบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 82409 ในนามเดิม การจำนอง
จึงคงมีอยู่ตามสัญญาจำนอง ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๔๓, ๕๐๗๖ และ ๘๒๔๐๙ ทั้งสามแปลงซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ จึงเป็นทรัพย์หลักประกันสำหรับมูลหนี้ตามคำพิพากษาทั้งในคดีแพ่ง
หมายเลขแดงที่ 192/2546 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1452/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ผู้ร้อง
เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทั้ง 2 คดี ดังกล่าว ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดง
ที่ 192/2546 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2546 และมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดง
ที่ 1452/2546 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2546 ครั้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด วันที่ ๒ กันยายน 2547 ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้
ต่อผู้คัดค้านในฐานะเจ้าหนี้มีประกันเพียงเฉพาะมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดง
ที่ 192/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี โดยใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) โดยขอรับชำระหนี้จากทรัพย์หลักประกัน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๔๓ และ ๕๐๗๖ จดทะเบียนจำนอง
ในลำดับที่ 2 และถือว่าผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) จากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๒๔๐๙
ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๐๗๖ ด้วย ผู้คัดค้านยึดที่ดินทั้งสามแปลงไว้แล้วในคดีล้มละลาย
ผู้คัดค้านสอบสวนและเห็นควรให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา คดีแพ่งหมายเลขแดง
ที่ 192/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นเงิน ๔,๙๗๖,๑๖๓.๗๑ บาท พร้อมดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียม
และค่าทนายความจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ ๓ ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 8,398,969.21 บาท ตามที่ขอมา ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2565 ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้มีประกันยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้าน
โดยขอใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 ขอรับชำระหนี้จากเงินที่ได้จาก
การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้ในลำดับที่ 1 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1452/2546
ของศาลจังหวัดมีนบุรี อีกคดีหนึ่ง เป็นต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดรวม 12,720,910.15 บาท ผู้คัดค้านมีคำสั่งในคำร้องขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ ของผู้ร้องว่า ตรวจสอบพบว่าผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 96 (3) มาในคดีนี้แล้ว โดยมีหลักประกันคือที่ดินทั้งสามแปลง ไม่อาจขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 95 ได้อีก เห็นควรยกคำขอ
รับชำระหนี้ของผู้ร้อง

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์หลักประกันจำนองในลำดับที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95
ได้อีกหรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า การที่ผู้ร้องนำหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1๙๒/2546
ของศาลจังหวัดมีนบุรี ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖ (๓) มีหลักประกันเป็นการจำนองในลำดับที่ ๒ และยื่นคำร้องขอใช้สิทธิของเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ สำหรับหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1452/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี มีหลักประกัน
เป็นการจำนองในลำดับที่ ๑ เป็นคนละคดี คนละมูลหนี้ และการจำนองลำดับที่แตกต่างกัน
การยื่นคำร้องคดีนี้จึงไม่เป็นการซ้ำซ้อนกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 บัญญัติว่า “เจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ แต่ต้องยอมให้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น” และมาตรา ๙๖ บัญญัติว่า “เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ได้ ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) เมื่อยินยอมสละทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อประโยชน์
แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายแล้ว ขอรับชำระหนี้ได้เต็มจำนวน (๒) เมื่อได้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้ว ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ (๓) เมื่อได้ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้ว ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ (๔) เมื่อตีราคาทรัพย์สิน
อันเป็นหลักประกันแล้ว ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่...” บทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่า
ในการใช้สิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันใดนั้น เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิที่จะเลือกใช้สิทธิ
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๕ หรือมาตรา ๙๖ มาตราใดมาตราหนึ่ง
เพียงมาตราเดียว โดยอาจเลือกถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันของตนนั้นตามมาตรา ๙๕
โดยไม่มาขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย หรืออาจใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
ตามมาตรา ๙๖ อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว หากเจ้าหนี้มีประกันเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้
เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันใดตามมาตรา ๙๖ แล้ว ก็ย่อมหมดสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สิน
อันเป็นหลักประกันนั้นตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป และต้องขอรับชำระหนี้ทั้งหมดของตนที่มีเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้นภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ตามมาตรา ๙๑ การที่ผู้ร้องนำหนี้ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดง
ที่ 1๙๒/2546 ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) เหนือที่ดินโฉนดเลขที่ 3943 และ 5076 ตำบลลำลูกา (คลองหกวาสายล่างฝั่งใต้) อำเภอลำลูกา (มีนบุรี) จังหวัดปทุมธานี (มีนบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินโฉนดเลขที่ 82409 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือที่ดินทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองดังกล่าวตามมาตรา ๙๕
อีกต่อไป แม้ในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) ผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิจำนองในลำดับที่ ๒
ซึ่งเป็นประกันหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1๙๒/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี
ส่วนการยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ คดีนี้ ผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิจำนองในลำดับที่ ๑
ซึ่งเป็นประกันหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1๔๕๒/2546 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ก็ตาม
แต่เป็นกรณีผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแปลงเดียวกัน เมื่อผู้ร้องเลือกใช้สิทธิในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๖ (๓) แล้ว ผู้ร้องจักต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ของตนทั้งหมด
ที่มีทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันเข้ามาในคดีล้มละลาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์หลักประกันโดยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เหนือที่ดินจำนองทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้ร้องอีก เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป

         พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

(ชวลิต ยงพาณิชย์ - เอื้อน ขุนแก้ว - ศักดิ์เสถียร สวนสุข)

นราธิป บุญญพนิช - ย่อ

                ปวีณา แสงสว่าง - ตรวจ