คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ  นาย ศ.                                             โจทก์       

         ที่ วยช 48/2567                               นางสาว ร.                                        จำเลย

         โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมายแต่จดทะเบียนหย่ากันแล้ว
โดยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินว่า บ้านพิพาททั้งสองฝ่ายตกลง
แบ่งคนละครึ่ง และหนี้สินผ่อนชำระค่าบ้านพิพาททั้งสองฝ่ายรับผิดชอบคนละครึ่ง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายส่วนกลางครึ่งหนึ่งแก่โจทก์
กับขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดที่ดินและบ้านพิพาทเพื่อชำระหนี้จำนองแก่ธนาคาร หากไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์กับจำเลยรับผิดคนละครึ่ง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตาม
บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาเนื่องมาจากการหย่าโดยความยินยอม หนี้ที่สามีภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส และความรับผิด
ในหนี้เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง อันเป็นกรณีที่จะต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ ๕ มาตรา ๑๔๙๐
, ๑๕๓๒, 1533 และ ๑๕๓๕ คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัว

______________________________

         โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่
9 เมษายน 2547 ระหว่างสมรสโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4350 ตำบลออเงิน อำเภอสายไหม กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านเลขที่ 1/41 ถนนสุขาภิบาล 5 ซอย 67 แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร จากบริษัท ภ. และจดทะเบียนจำนองบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่ธนาคาร ท. ในวงเงิน 4,284,800 (ที่ถูก 4,284,500) บาท โจทก์และจำเลยต้องร่วมกันผ่อนชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ต่อมาวันที่ 9 มกราคม 2560 โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า ข้อ 3. เรื่องทรัพย์สินว่า บ้านเลขที่ 1/41 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 4350
ทั้งสองฝ่ายตกลงแบ่งคนละครึ่ง และหนี้สินผ่อนชำระค่าบ้านทั้งสองฝ่ายรับผิดชอบคนละครึ่ง แต่ปรากฏว่านับแต่จดทะเบียนหย่าจำเลยไม่เคยร่วมผ่อนชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเรื่อยมา
นับถึงเดือนพฤศจิกายน 2566 รวมเป็นเงิน 2,756,586.76 บาท และชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง
ทุกสามเดือนเป็นเงิน 3,720 บาท นับถึงเดือนพฤศจิกายน 2566 รวมเป็นเงิน 59,280 บาท
จำเลยต้องชดใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,407,933.38 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว
แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,407,933.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเงินครึ่งหนึ่งที่โจทก์ชำระแก่ธนาคาร ท. ทุกเดือน นับแต่เดือนที่ยื่นฟ้องจนกว่าจะครบหนี้ตามสัญญาจำนอง ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง
ทุกสามเดือนเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของเงิน 3,720 บาท นับแต่เดือนที่สามเป็นต้นไป และขอให้ศาล
มีคำสั่งให้ขายทอดตลาดบ้านเลขที่ 1/41 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 4350 เพื่อนำเงินชำระหนี้จำนอง
แก่ธนาคารให้เสร็จสิ้นตามสัญญาจำนอง หากไม่พอชำระหนี้ ให้โจทก์และจำเลยรับผิดคนละครึ่ง
จนครบจำนวนหนี้ หากมีเงินเหลือให้แบ่งแก่โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง

 

 

 

 

 

         จำเลยยังไม่ยื่นคำให้การ

         ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งมีนบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว แล้วเสนอปัญหาดังกล่าวให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑

         วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “คดีครอบครัว” หมายความว่า คดีแพ่งที่ฟ้องหรือร้องขอต่อศาลหรือกระทำการใด ๆ ในทางศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัว ซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ดังนั้น คดีที่เกี่ยวด้วยการสมรส สิทธิและหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา บิดามารดาและบุตรไม่ว่าในทางใด
ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ทั้งหมด คดีที่เกี่ยวด้วยสถานะ
และความสามารถของบุคคลเกี่ยวกับครอบครัวหรือส่วนได้เสียของผู้เยาว์ ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพ ๑ มาตรา ๒๑ ถึง ๒๘, ๓๒, ๔๓ และ ๔๔ และในบรรพ ๖ มาตรา ๑๖๑๐, ๑๖๑๑, ๑๖๘๗ และ ๑๖๙๒ รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ย่อมถือเป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชน
และครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓) คดีนี้สภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาเนื่องมาจากการหย่า
โดยความยินยอม หนี้ที่สามีภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส และความรับผิดในหนี้เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง อันเป็นกรณีที่จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ มาตรา ๑๔๙๐, ๑๕๓๒, 1533 และ ๑๕๓๕ คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓)

         วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว

 

วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๓ เดือน เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖7

 

ประกอบ ลีนะเปสนันท์

(นายประกอบ ลีนะเปสนันท์)

ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

 

 

วุฒิพงศ์ เถาวัฒนะ - ย่อ

สัญชัย ภักดีบุตร - ตรวจ