คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ วท ๑๕-๑๖/๒๕๕๙ พี/เอฟ ฟาโร มารีน
โปรดักต์ส (P/E Faroe
Marine Products) โจทก์
บริษัทเอ็กซ์เพรส
ทรานสปอร์ต ซิสเต็ม
(เชียงใหม่) จำกัด จำเลย
บริษัทเอ็กซ์เพรส
ทรานสปอร์ต ซิสเต็ม
(เชียงใหม่) จำกัด โจทก์
พี/เอฟ ฟาโร มารีน
โปรดักต์ส จําเลย
สำนวนแรก แม้โจทก์และจำเลยจะมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญารับขนส่งสินค้าระหว่าง ประเทศและโจทก์ได้ชำระค่าขนส่งสินค้าโดยการส่งเงินเข้ามาในราชอาณาจักรให้แก่จำเลย แต่โจทก์ ไม่ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ แต่ฟ้องเรียกให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระค่าขนส่งสินค้าเกินมาคืนให้แก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้ ทั้งจำเลยให้การรับว่า จำเลยดำเนินการขนส่งสินค้าให้โจทก์เสร็จสิ้นและได้รับชำระเงินค่าขนส่งจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์โอนเงินค่าขนส่งสินค้าเกินกว่าใบแจ้งหนี้มาให้จำเลย จำเลยโอนเงินที่เกินมาดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ไปยังบัญชีของบุคคลอื่นในประเทศไทยที่โจทก์แจ้งให้จำเลยโอนแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาท
ที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศหรือการส่งเงินเข้ามาในราชอาณาจักรแต่อย่างใด คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศและนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง การส่งเงินเข้ามาในราชอาณาจักรหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) และ (6) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
สำหรับสำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่มีระบบป้องกันที่ดีและปล่อยปละละเลยให้ผู้อื่นเข้ามาล้วงความลับของข้อมูลที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างตนกับคู่ค้า จำเลยมีหน้าที่ที่ต้องมีระบบ ป้องกันทางเครือข่ายที่ดีกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปเพื่อป้องกันความเสียหายทางธุรกิจ แต่จำเลย
ไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยปล่อยเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะทวงถามให้โจทก์คืนเงิน
เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์โอนเงินไปยังบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีเป็นการฟ้องจำเลยในมูลละเมิด คำฟ้องโจทก์จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้ต้องวินิจฉัยสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดตามสัญญาขนส่งสินค้าระหว่างประเทศหรือนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศหรือนิติกรรมอื่น
ที่เกี่ยวเนื่อง อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
_____________________________
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกัน
โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายของประเทศเดนมาร์ก จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามกฎหมายไทย ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่ง โจทก์ให้จำเลยขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศเดนมาร์ก จำเลยดำเนินการขนส่งสินค้าให้โจทก์และออกใบแจ้งหนี้เรียกเก็บค่าบริการจากโจทก์เป็นเงิน ๓๓๘,๑๑๖ บาท โจทก์โอนเงินระหว่างประเทศเข้าบัญชีจำเลยเป็นเงิน ๒๑๒,๐๗๙.๔๑ เหรียญสหรัฐ ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จำเลยแจ้งโจทก์ทราบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ว่า โจทก์โอนเงินค่าบริการให้แก่จำเลยเกินไปกว่าที่เรียกเก็บตามใบแจ้งหนี้เป็นเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐.๓๐ บาท โจทก์จึงทวงถามให้จำเลยโอนเงินส่วนที่เกินคืน จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนโจทก์ในฐานลาภมิควรได้ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นต้นเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐.๓๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับจากวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๘๔,๕๒๖.๙๘ บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย ๗,๐๑๖,๕๑๗.๒๘ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๗,๐๑๖,๕๑๗.๒๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐.๓๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยสำนวนแรกให้การว่า เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าบริการที่โจทก์ชำระมาเกินกว่าใบแจ้งหนี้
เป็นเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐.๓๐ บาท จำเลยติดต่อกับโจทก์ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ให้โจทก์แจ้งเลขที่บัญชีเพื่อดำเนินการส่งเงินที่โอนมาเกินคืนแก่โจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยโอนเงินไปยังหัวหน้าฝ่ายบัญชี
ของโจทก์ที่ประเทศจีน แต่จำเลยไม่สามารถโอนเงินให้โจทก์ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่า จำเลยไม่สามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้มากกว่าครั้งละ ๕,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ เมื่อจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยโอนเงินคืนที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๒ บัญชี จำเลยได้โอนเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐ บาท ไปยังบัญชีทั้งสองบัญชีที่โจทก์แจ้งมาครบถ้วนแล้ว ถือว่าจำเลยได้ชำระหนี้
ต่อผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้แล้ว หนี้จึงระงับ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์สำนวนหลังฟ้องว่า จำเลยติดต่อใช้บริการขนส่งสินค้ากับโจทก์ โจทก์ดำเนินการขนส่งสินค้าให้จำเลย และจำเลยชำระค่าบริการให้แก่โจทก์เกินกว่าใบแจ้งหนี้ โจทก์ติดต่อจำเลยผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินการโอนเงินที่เกินคืนให้แก่จำเลย และเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
โจทก์โอนเงินคืนจำเลยไปยังเลขที่บัญชีที่จำเลยแจ้งโจทก์มาจำนวน ๒ บัญชี ครบถ้วนแล้ว ในวันที่
๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ จำเลยส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาทวงถามโจทก์ให้โอนเงินที่ชำระเกินมาคืน
แก่จำเลย โจทก์จึงแจ้งว่าโจทก์โอนเงินคืนจำเลยไปยังบัญชีที่จำเลยแจ้งมาครบถ้วนแล้ว ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ กค ๑๒๒/๒๕๕๘ โจทก์จึงตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์พบว่า มีบุคคลอื่นเข้าไปดักเจาะข้อมูลของจำเลยไว้เพื่อไม่ให้จำเลยส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาถึงโจทก์ได้ แล้วบุคคลดังกล่าวแสดงตนว่าเป็นจำเลยติดต่อกับโจทก์ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เรื่อยมา จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศเดนมาร์กประกอบอาชีพค้าขายระหว่างประเทศย่อมต้องมีภาวะและวิสัยที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษมากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่จำเลยกระทำการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่มีระบบป้องกันที่ดีและปล่อยปละละเลยให้ผู้อื่นเข้ามาล้วงความลับของข้อมูลที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างตนกับคู่ค้า จำเลย
มีหน้าที่ที่ต้องมีระบบป้องกันทางเครือข่ายที่ดีกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปเพื่อป้องกันความเสียหายทางธุรกิจ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยปล่อยเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะทวงถามให้โจทก์คืนเงิน
การกระทำของจำเลยเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหลงเชื่อ
โอนเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐ บาท ไปยังบุคคลอื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ และทำให้โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีเพื่อเรียกเงินคืน จำเลยจึงต้องชดใช้เงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗๑๙,๘๕๙ บาท รวมเป็นเงิน ๗,๒๕๑,๘๔๙ บาท คืนแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๗,๒๕๑,๘๔๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖,๕๓๑,๙๙๐ บาท
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยสำนวนหลังให้การว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
การที่โจทก์ไม่ตรวจสอบความถูกต้องของที่อยู่ของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่บุคคลอื่นปลอมขึ้นมา
และโอนเงินไปยังบัญชีของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บัญชีของจำเลยที่ประเทศเดนมาร์ก อันเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัย เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยสำนวนแรกยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในเรื่องลาภมิควรได้ กรณีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
ในวันนัดพิจารณา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว
เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีทั้งสองสำนวนนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ จึงส่งสำนวนมาให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณา
คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙
วินิจฉัยว่า กรณีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า คดีหมายเลขดำที่ กค ๑๒๒/๒๕๕๘
เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศและนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง การส่งเงินเข้ามา
ในราชอาณาจักรหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๗ (๕) (๖) หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์และจำเลยจะมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญา รับขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและโจทก์ได้ชำระค่าขนส่งสินค้าโดยการส่งเงินเข้ามาในราชอาณาจักรให้แก่จำเลย
แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ แต่ฟ้องเรียกให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระค่าขนส่งสินค้าเกินมาคืนให้แก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้ ทั้งจำเลยให้การรับว่าจำเลยดำเนินการขนส่งสินค้าให้โจทก์เสร็จสิ้นและได้รับชำระเงินค่าขนส่งจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์โอนเงินค่าขนส่งสินค้าเกินกว่าใบแจ้งหนี้มาให้จำเลย จำเลยโอนเงินที่เกินมาดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ไปยังบัญชีของบุคคลอื่นในประเทศไทยที่โจทก์แจ้งให้จำเลยโอนแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศหรือการส่งเงินเข้ามาในราชอาณาจักรแต่อย่างใด คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศและนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง การส่งเงินเข้ามาในราชอาณาจักรหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศ ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า คดีหมายเลขดำที่ กค ๑๔/๒๕๕๙ เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศหรือนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗ (๕) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่มีระบบป้องกันที่ดีและปล่อยปละละเลยให้ผู้อื่นเข้ามาล้วงความลับของข้อมูลที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างตนกับคู่ค้า จำเลยมีหน้าที่ที่ต้องมีระบบป้องกันทางเครือข่ายที่ดีกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปเพื่อป้องกันความเสียหายทางธุรกิจ
แต่จำเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยปล่อยเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะทวงถามให้โจทก์คืนเงิน
เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย เป็นเหตุให้โจทก์โอนเงินไปยังบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีเป็นการฟ้องจำเลยในมูลละเมิด คำฟ้องโจทก์จึงไม่มีประเด็น
ข้อพิพาทให้ต้องวินิจฉัยสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดตามสัญญาขนส่งสินค้าระหว่างประเทศหรือนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศหรือนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง
อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
วินิจฉัยว่า คดีทั้งสองสำนวนนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
วินิจฉัย ณ วันที่ ๓๐ เดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
เมทินี ชโลธร
(นางเมทินี ชโลธร)
ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
สุธรรม สุธัมนาถพงษ์ - ย่อ
นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ