คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ วท ๑/๒๕๕๙ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด
(มหาชน) โจทก์
บริษัทเอส.ดับเบิ้ลยู. เกรท จำกัด
กับพวก จําเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้น จำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกัน
และจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้จำนองประกันในมูลหนี้ของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อการนำเข้า เมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธหนี้ทั้งหมดตามคำฟ้อง
คดีตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยทั้งสี่จึงมีประเด็นข้อพิพาทให้ต้องพิจารณาถึง
ความรับผิดของจำเลยทั้งสี่ในอันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว
กับการประกันหนี้ตามสัญญาค้ำประกันและจำนองเท่านั้น มูลหนี้ตามวงเงินพี/เอ็นที่มีการรับซื้อ
ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อนำเงินไปชำระให้ผู้ขายสินค้าที่ต่างประเทศก็เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งอยู่ในประเทศไทยให้บริการด้านสินเชื่อแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ในประเทศไทยด้วยกัน เพื่อจำเลยที่ ๑ จะได้ใช้เงินนั้นในการนำเข้าสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ อันมีลักษณะเป็นเรื่องสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการนำเข้าสินค้า จึงมิใช่การซื้อขายสินค้าหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ เพราะประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ไม่เกี่ยวกับนิติกรรมการซื้อขายสินค้า หรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ หรือเกี่ยวกับสิทธิ
หน้าที่ และความรับผิดระหว่างจำเลยที่ ๑ กับคู่ค้าที่ต่างประเทศแต่อย่างใด ทั้งไม่ใช่การบริการระหว่างประเทศ เพราะลักษณะของการให้บริการระหว่างประเทศนั้นต้องเป็นการให้บริการ
จากประเทศหนึ่งและเป็นผลให้ผู้รับบริการได้รับบริการนั้นในอีกประเทศหนึ่ง ไม่ใช่การให้บริการสินเชื่อระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการที่ต่างอยู่ในประเทศไทยด้วยกันเช่นนี้ แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ทำคำขอใช้วงเงิน พี/เอ็น ร่วมกับเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทเพื่อซื้อสินค้า
จากผู้ขายในต่างประเทศ แต่คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตหรือทรัสต์รีซีทแต่อย่างใด ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาเลตเตอร์
ออฟเครดิตหรือทรัสต์รีซีทเพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ ดังนั้น คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ การให้บริการระหว่างประเทศ เลตเตอร์
ออฟเครดิตที่ออกเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการซื้อขายระหว่างประเทศ หรือทรัสต์รีซีท ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) และ (6) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
_____________________________
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำคำขอใช้วงเงิน พี/เอ็น (ขายตั๋วสัญญาใช้เงิน) เพื่อชำระ บี/ซี ร่วมกับวงเงินเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีท และจำเลยที่ ๑ ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและนำตั๋วสัญญาใช้เงินมาทำสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อการนำเข้ากับโจทก์ ๓ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๗๑,๙๔๗.๙๕ เหรียญสหรัฐอเมริกา โดยจำเลยที่ ๑ ขอให้โจทก์โอนเงินที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับเข้าบัญชีของธนาคารซึ่งอยู่ต่างประเทศเพื่อเป็นการชำระค่าสินค้าแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งโจทก์
ได้โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ขายสินค้าที่ต่างประเทศแล้ว จำเลยที่ ๑ ตกลงชำระเงินที่ได้รับจากการขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับครบกำหนดพร้อมดอกเบี้ย และเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ทั้งหมด จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่มีต่อโจทก์ และจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินและห้องชุดประกันการชำระหนี้
ของจำเลยที่ ๑ ที่มีต่อโจทก์ตามลำดับ ภายหลังเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับครบกำหนดโจทก์
ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ ๑ ได้ โจทก์จึงแปลงสกุลเงินของหนี้ที่เกิดจากสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อทำการนำเข้าจากเงินตราต่างประเทศเป็นสกุลเงินไทยจำเลยทั้งสี่
ต้องร่วมกันชดใช้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใชเงินสกุลเงินตราต่างประเทศ
เพื่อการนำเข้าแต่ละฉบับให้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินต้น ๒,๓๕๕,๖๑๖ บาท ดอกเบี้ย๓๔๘,๒๒๘.๙๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๗๐๓,๘๔๕.๑๔ บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามถึงจำเลยทั้งสี่ให้ชำระหนี้
และบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๒,๗๐๓,๘๔๕.๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน๒,๓๕๕,๖๑๖.๒๓ บาท
นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนอง
ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสี่ให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ คำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ ทำคำขอใช้วงเงิน พี/เอ็น ร่วมกับเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสซ์รีซีทเพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศและให้โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ขายสินค้า
ที่ธนาคารในต่างประเทศ เพื่อเป็นการชำระค่าสินค้าแทนจำเลยที่ ๑ และตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นเงินสกุลต่างประเทศ กรณีจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยทำคำขอใช้เงิน
พี/เอ็น เพื่อชำระ บี/ซี ร่วมกับวงเงินเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทกับโจทก์และไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยขอให้โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ขายสินค้าที่อยู่ต่างประเทศ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช้
ผู้ผิดสัญญาและไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ทำกับโจทก์เป็นเวลานานกว่า ๑๘ ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ สัญญาจำนองตามฟ้องเป็นโมฆะและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากสัญญาจำนองไม่ได้จำนองหนี้ตามฟ้องในคดีนี้ โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและคิดดอกเบี้ยทบต้นซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสี่ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามและบังคับจำนองจากโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ ๙๐๔/๒๕๕๙
ของศาลแพ่ง และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค 29/๒๕๕๙ ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณาของศาลแพ่งพิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีมีปัญญาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ จึงส่งสำนวนมาให้ประธาน
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙
วินิจฉัยว่า กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ การให้บริการระหว่างประเทศ เลตเตอร์ออฟเครดิตที่ออกเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการซื้อขายระหว่างประเทศ หรือทรัสต์รีซีท ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗ (๕) และ (๖) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานลูกหนี้ชั้นต้น จำเลยที่ ๒ กับที่ ๓
ในฐานผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้จำนองประกันในมูลหนี้ของจำเลยที่ ๑ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อการนำเข้า เมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธหนี้ทั้งหมดตามคำฟ้อง คดีตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยทั้งสี่จึงมีประเด็นพิพาทให้ต้องพิจารณาถึงความรับผิดของจำเลยทั้งสี่ในอันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวกับการประกันหนี้
ตามสัญญาค้ำประกันและจำนองเท่านั้น มูลหนี้ตามวงเงิน พี/เอ็น ที่มีการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อนำเงินไปชำระให้ผู้ขายสินค้าที่ต่างประเทศ ก็เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งอยู่ในประเทศไทยให้บริการด้านสินเชื่อแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ในประเทศไทยด้วยกัน เพื่อจำเลยที่ ๑ จะได้ใช้เงินนั้นในการนำเข้าสินค้าจากผู้ขาย
ในต่างประเทศ อันมีลักษณะเป็นเรื่องสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการนำเข้าสินค้า จึงมิใช่การซื้อขายสินค้าหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ เพราะประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ไม่เกี่ยวกับนิติกรรมการซื้อขายสินค้าหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ หรือเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดระหว่างจำเลยที่ ๑
กับคู่ค้าที่ต่างประเทศแต่อย่างใด ทั้งไม่ใช่การบริการระหว่างประเทศ เพราะลักษณะของการให้บริการระหว่างประเทศนั้นต้องเป็นการให้บริการจากประเทศหนึ่งและเป็นผลให้ผู้รับบริการได้รับบริการนั้นในอีกประเทศหนึ่ง ไม่ใช่การให้บริการสินเชื่อระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการที่ต่างอยู่ในประเทศไทยด้วยกันเช่นนี้ แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ทำคำขอใช้วงเงิน พี/เอ็น ร่วมกับเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสซ์รีซีทเพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ แต่คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสซ์รีซีทแต่อย่างใด ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ จึงเป็น
ไปตามเงื่อนไขในสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทเพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ ดังนั้น คดีนี้
จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ การให้บริการระหว่างประเทศเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ออกเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการซื้อขายระหว่างประเทศ หรือทรัสต์รีซีท
ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
วินิจฉัย ณ วันที่ ๓ เดือน พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
เมทินี ชโลธร
(นางเมทินี ชโลธร)
ประธานศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ
สุธรรม สุธัมนาถพงษ์ - ย่อ
นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ