คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 5313/2566   บริษัทมาคิตะ แมนูแฟคเจอริ่ง

     (ไทยแลนด์) จำกัด                   ผู้ร้อง

                                                                                          นางสาวรัศม์ชัญยฉัตร  สิงห์นิสาย ผู้คัดค้าน

พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓, ๑๘, ๕๒

         การที่ผู้คัดค้านตะโกนเสียงดังว่า พี่น้องเอ๊ย สู้ไม่สู้ ในขณะที่มีลูกจ้างบางส่วนของผู้ร้อง
กำลังทำงานอยู่ เป็นการกระทำอันสืบเนื่องมาจากการที่สหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งเป็นประธานสหภาพแรงงานที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้แทนเข้าร่วมในการเจรจา
ซึ่งขณะนั้นยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติในข้อเรียกร้องระหว่างกันได้ การกระทำดังกล่าว
เป็นการแสดงออกที่มุ่งประสงค์ต่อความสำเร็จในการหาข้อยุติข้อพิพาทแรงงานที่อยู่ระหว่าง
ไกล่เกลี่ย มิใช่กระทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงานผู้หนึ่งผู้ใด จึงเป็นการกระทำอันเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ภายหลังจากที่ผู้คัดค้านกระทำการดังกล่าว ผู้ร้องยังคงเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานกับผู้แทนสหภาพแรงงานโดยมีผู้คัดค้านเข้าร่วมด้วย
ซึ่งในระหว่างเจรจาก็มิได้มีการหยิบยกเรื่องโทษทางวินัยของผู้คัดค้านขึ้นเป็นประเด็นไว้ แสดงถึงว่าผู้ร้องยอมรับและเข้าใจในเจตนาของผู้คัดค้านจึงไม่ถือเอาการกระทำดังกล่าวเป็นสำคัญ พฤติการณ์ยังไม่มีเหตุสมควรลงโทษผู้คัดค้าน ประกอบกับเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยระบุด้วยว่าต่างไม่ติดใจเรื่องใด ๆ กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง
ผู้ร้องจึงไม่อาจหยิบยกเอาการกระทำของผู้คัดค้านที่ได้กระทำไปก่อนทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
มาลงโทษผู้คัดค้านได้อีก
 

______________________________

 

         ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านโดยการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร

         ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

         ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษายกคำร้อง

         ผู้ร้องอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริง
และปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันเป็นยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นลูกจ้างผู้ร้องและได้รับการแต่งตั้ง
จากสหภาพแรงงานมาคิตะ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ให้เป็นกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการของผู้ร้อง ผู้ร้องมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุไว้ในข้อ ๗ วินัยและโทษทางวินัย ๗.๑.๑
ข้อห้ามปฏิบัติ (๒) ...กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการทำงานของพนักงานอื่น ๆ และในข้อ ๗.๒ โทษทางวินัย...(๑) ตักเตือนด้วยวาจา (๒) ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 สหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อผู้ร้อง ผู้คัดค้านเป็นผู้แทนเข้าร่วมในการเจรจาข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงาน มีการเจรจากันตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ไม่สามารถ
ตกลงกันได้ สหภาพแรงงานจึงแจ้งเป็นข้อพิพาทแรงงานต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน
เพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ย พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการไกล่เกลี่ยครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ผู้ร้องยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงาน
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการไกล่เกลี่ยครั้งที่ ๒ และที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๑ และวันที่
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ และกำหนดนัดไกล่เกลี่ยครั้งต่อไปวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ ก่อนถึงกำหนดนัด เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เวลา 10.18 นาฬิกา ผู้คัดค้านตะโกนเสียงดังว่า พี่น้องเอ๊ย สู้ไม่สู้ ในขณะที่มีลูกจ้างบางส่วนของผู้ร้องกำลังทำงานอยู่ หลังจากนั้นมีการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานอีก ๒ ครั้งในวันที่ ๒ และวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาหาข้อยุติในข้อพิพาทแรงงานได้และทำเป็นบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๕
แล้ววินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านในฐานะผู้แทนในการเจรจาข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานตะโกนเสียงดัง
ด้วยถ้อยคำดังกล่าวในระหว่างที่การเจรจาข้อพิพาทแรงงานยังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะต้องการกระตุ้นบรรดาลูกจ้างให้มีกำลังใจทำงาน การกระทำของผู้คัดค้านจึงเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง แม้เป็น
การกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อต่อมาทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อขัดแย้งทุกอย่างอันเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจรจากันควรต้องยุติลงทั้งหมด เพื่อให้ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างทำงานร่วมกันต่อไปโดยปราศจากข้อบาดหมางใด ๆ อีกทั้งหากผู้ร้อง
ยังติดใจเรื่องที่ผู้คัดค้านกระทำผิดวินัยก็ควรมีข้อท้วงติงหรือพูดคุยกันเสียให้เสร็จสิ้นในขณะเจรจากันหรือขณะทำบันทึกข้อตกลง แต่กลับไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทำเช่นนั้น ดังนั้น ข้อตกลงที่ระบุในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจึงหมายถึงกรณีที่ผู้คัดค้านตะโกนเสียงดังซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องด้วย ผู้ร้องไม่อาจนำความผิดดังกล่าวมาลงโทษทางวินัยกับผู้คัดค้านได้เพราะไม่ติดใจแล้ว

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า กรณีมีเหตุให้ลงโทษผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้คัดค้านตะโกนเสียงดังว่า พี่น้องเอ๊ย สู้ไม่สู้ ในขณะที่มีลูกจ้างบางส่วนของผู้ร้องกำลังทำงานอยู่ เป็นการกระทำอันสืบเนื่องมาจากการที่สหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้อง
และผู้คัดค้านซึ่งเป็นประธานสหภาพแรงงานที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้แทนเข้าร่วมในการเจรจา
ซึ่งขณะนั้นยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติในข้อเรียกร้องระหว่างกันได้ การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงออก
ที่มุ่งประสงค์ต่อความสำเร็จในการหาข้อยุติข้อพิพาทแรงงานที่อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ย มิใช่กระทำไป
เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงานผู้หนึ่งผู้ใด จึงเป็นการกระทำอันเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ภายหลังจากที่ผู้คัดค้านกระทำการดังกล่าว ผู้ร้องยังคงเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานกับผู้แทนสหภาพแรงงานโดยมีผู้คัดค้านเข้าร่วมด้วย ซึ่งในระหว่างเจรจาก็มิได้มีการหยิบยกเรื่องโทษ
ทางวินัยของผู้คัดค้านขึ้นเป็นประเด็นไว้ แสดงถึงว่าผู้ร้องยอมรับและเข้าใจในเจตนาของผู้คัดค้าน
จึงไม่ถือเอาการกระทำดังกล่าวเป็นสำคัญ พฤติการณ์ยังไม่มีเหตุสมควรลงโทษผู้คัดค้าน ประกอบกับ
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยระบุด้วยว่าต่างไม่ติดใจ
เรื่องใด ๆ กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ผู้ร้องจึงไม่อาจหยิบยกเอาการกระทำของผู้คัดค้านที่ได้กระทำไปก่อนทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมาลงโทษผู้คัดค้านได้อีก ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยมานั้น
ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

         พิพากษายืน.

(วัชรินทร์  ฤชุโรจน์ – ยิ่งศักดิ์  โอฬารสกุล – อรนุช  อาชาทองสุข)

 

ภัทรวรรณ  ทรงกำพล - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ