คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 129/2566 นางสาวระพีพร แซ่ลิ้ม โจทก์
การประปาส่วนภูมิภาค จำเลย
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 49, ๕๖ วรรคสอง
ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๕, ๕๘๗
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17, 17/1
แม้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะทำเป็นสัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคารแบบปีต่อปีตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ระยะเวลาตามสัญญาครั้งละ ๑๒ เดือน แต่จำเลยก็จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดเพียงคนเดียวต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ลักษณะงานที่ทำเป็นการทำความสะอาดอาคารสำนักงานทั่วไป หนังสือเรื่อง ขอส่งมอบงาน ก็ไม่มีผลสำเร็จแห่งงานที่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน เพียงแต่แนบตารางการทำงานของโจทก์ที่ระบุเวลาเริ่มงานและเวลาเลิกงาน ซึ่งเป็นการควบคุมเวลาการทำงานของโจทก์ นอกจากนี้ หนังสือลาออกที่พนักงานของจำเลยเป็นผู้พิมพ์และให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้
ยังระบุว่าเป็นเรื่องขอลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ซึ่งผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค
สาขาสมุทรสาคร มีคำสั่งอนุมัติ จึงหมายถึงอนุมัติให้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย หาใช่ลาออกจากการเป็นผู้รับจ้างเหมาดูแลทำความสะอาดบริเวณอาคารและสถานที่ตามที่จำเลยอ้างไม่
สัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคารดังกล่าวจึงเป็นการทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้างแรงงาน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๕ มิใช่สัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗
การจะวินิจฉัยว่าจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น จำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงว่า
โจทก์ลาออกหรือถูกจำเลยเลิกจ้าง หากเป็นกรณีเลิกจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุใด เพื่อจะได้วินิจฉัยต่อไปว่าเข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องบอกกล่าวการเลิกจ้างล่วงหน้าหรือจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ และถือเป็นเหตุสมควรเพียงพอที่จะเลิกจ้างหรือไม่ อันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษไม่อาจรับฟังได้เอง ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๗ ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 7๘,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 10,725 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
1๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๗ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า สัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคาร การประปาส่วนภูมิภาค สาขาสมุทรสาคร
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
ศาลแรงงานภาค ๗ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็น
นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ การประปาส่วนภูมิภาค
สาขาสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานภายในของจำเลย เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จำเลยได้จ้างโจทก์
เข้าทำงาน เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ โจทก์ยื่นหนังสือลาออก ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค
สาขาสมุทรสาคร ได้มีคำสั่งอนุมัติให้โจทก์ลาออก และศาลแรงงานภาค ๗ วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงต่อไปด้วยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเกิดขึ้นจากสัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคาร การประปา
ส่วนภูมิภาค สาขาสมุทรสาคร นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ สัญญาดังกล่าวในแต่ละปีงบประมาณนั้นมีข้อตกลงสาระสำคัญเช่นเดียวกัน
โดยสัญญาดังกล่าวระบุผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขาสมุทรสาคร ปฏิบัติงานแทนผู้ว่าการ
การประปาส่วนภูมิภาค เรียกว่า “ผู้ว่าจ้าง”และเรียกโจทก์ว่า “ผู้รับจ้าง” ในสัญญาจ้างเหมาบริการ
ทำความสะอาดอาคารการประปาส่วนภูมิภาค สาขาสมุทรสาคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
คู่สัญญาได้ตกลงกันมีข้อความ ดังนี้ ข้อ ๑ ข้อตกลงว่าจ้าง ๑.๑ ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างและผู้รับจ้างตกลงรับจ้างทำความสะอาดพื้นที่ภายในอาคารและบริเวณอาคารสถานที่สำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค
สาขาสมุทรสาคร ผู้รับจ้างจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญารวมทั้งเอกสารแนบท้าย
โดยมีกำหนดเวลา ๑๒ เดือน นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ จากข้อเท็จจริง
ที่ศาลแรงงานภาค ๗ รับฟังมาดังกล่าว เห็นว่า แม้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะทำเป็นสัญญา
จ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคารแบบปีต่อปีตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕5 ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ระยะเวลาตามสัญญาครั้งละ ๑๒ เดือน แต่จำเลยก็จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด
เพียงคนเดียวต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ลักษณะงานที่ทำเป็นการทำความสะอาดอาคารสำนักงานทั่วไป หนังสือเรื่อง ขอส่งมอบงาน ก็ไม่มีผลสำเร็จแห่งงานที่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน เพียงแต่แนบตารางการทำงานของโจทก์ที่ระบุเวลาเริ่มงานและเวลาเลิกงาน ซึ่งเป็นการควบคุมเวลา
การทำงานของโจทก์ นอกจากนี้ หนังสือลาออกที่พนักงานของจำเลยเป็นผู้พิมพ์และให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ ยังระบุว่าเป็นเรื่องขอลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ซึ่งผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค
สาขาสมุทรสาคร มีคำสั่งอนุมัติ จึงหมายถึงอนุมัติให้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย หาใช่ลาออกจากการเป็นผู้รับจ้างเหมาดูแลทำความสะอาดบริเวณอาคารและสถานที่ตามที่จำเลยอ้างไม่ สัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคารดังกล่าวจึงเป็นการทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้างแรงงาน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นนายจ้างและลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๕ มิใช่สัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ ที่ศาลแรงงานภาค ๗ วินิจฉัยมาว่า สัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคาร การประปาส่วนภูมิภาค สาขาสมุทรสาคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของ ใช้วิธีการจัดหาตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ถือเป็นการจ้างแรงงานที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างกับโจทก์
ซึ่งเป็นผู้รับจ้างจะมีนิติสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์
เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาและตามหนังสือขอลาออกก็ระบุว่าโจทก์มีความประสงค์ลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลย การจะวินิจฉัยว่าจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น จำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ลาออก
หรือถูกจำเลยเลิกจ้าง หากเป็นกรณีเลิกจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุใด เพื่อจะได้วินิจฉัยต่อไปว่า
เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องบอกกล่าวการเลิกจ้างล่วงหน้าหรือจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ และถือเป็นเหตุสมควรเพียงพอที่จะเลิกจ้างหรือไม่ อันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่อาจรับฟังได้เอง ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๗ ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีพิพากษากลับเป็นว่า สัญญาจ้างเหมาบริการทำความสะอาดอาคาร การประปาส่วนภูมิภาคสาขาสมุทรสาคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๗
ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามนัยข้างต้น แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.
(วรศักดิ์ จันทร์คีรี – พนารัตน์ คิดจิตต์ – ฤทธิรงค์ สมอุดร)
ภัทรวรรณ ทรงกำพล - ย่อ
อิสรา วรรณสวาท - ตรวจ