คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 122/2566 บริษัทกามาคัตสึ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โจทก์
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕)
พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๕
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗
พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้บัญญัติขั้นตอนและวิธีการให้ปฏิบัติจนกระทั่ง
มีคำวินิจฉัยชี้ขาดจากจำเลย ซึ่งเป็นคณะบุคคลดังที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๕ แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว แต่เมื่อวรรคสองแห่งมาตรา ๒๕ ของบทบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า “คำชี้ขาด
ของคณะบุคคลนั้นให้เป็นที่สุด ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องและฝ่ายรับข้อเรียกร้องต้องปฏิบัติตาม” ดังนี้
ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างย่อมจะต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น ไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คัดค้าน
หรือดำเนินการในศาลแรงงานได้อีก แม้โจทก์มีสิทธิฟ้องกล่าวหาว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ข้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าคำชี้ขาดนั้นฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจ
โดยไม่มีพยานหลักฐาน หรือไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ หรือขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน หรือมิได้เป็นไปโดยสุจริต เมื่อคดีนี้คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้เช่นนั้น คงเพียงแต่บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า
“...แต่จำเลยกลับไม่นำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ใช้ประกอบในการพิจารณา จำเลยกลับพิจารณาและอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือค่าอาหารตามสภาพเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ลูกจ้าง โจทก์เห็นว่าคำชี้ขาดที่จำเลยอ้างแต่เพียงสภาพเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ลูกจ้าง เป็นเหตุผลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการรับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์...” มิได้เป็น
การบรรยายฟ้องที่โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๒/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ ที่ศาลแรงงานกลางรับพิจารณาในประเด็นนี้มาด้วยนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยอีกต่อไป
_____________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลย ที่ ๒/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔
ข้อ ๑ และข้อ ๓
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๒/๒๕๖๔
ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า
โจทก์เป็นสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ยี่สิบคนขึ้นไป จึงมีการจัดตั้งสหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๑ ปัจจุบันมีสมาชิก ๑๕๐ คน เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓
สหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร แจ้งข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์รวม ๘ ข้อ
มีการเจรจากัน ๒ ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ สหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร ได้ยุติการเจรจาจึงถือว่า
มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น สหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร แจ้งข้อพิพาทแรงงานในส่วนที่
สหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร เรียกร้องต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน สำนักงานสวัสดิการ
และคุ้มครองแรงงานจังหวัดปทุมธานีแล้ว พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานนัดทั้งสองฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานดังกล่าวแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงส่งข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ดังกล่าว
ให้จำเลยพิจารณา จำเลยพิจารณาแล้วทำคำชี้ขาดที่ ๒/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาผลประกอบการของโจทก์ที่ขาดทุนตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ โจทก์ให้สวัสดิการและช่วยเหลือลูกจ้าง
ตามสมควรแล้ว คำวินิจฉัยของจำเลยที่ให้โจทก์จ่ายค่าอาหารให้แก่ลูกจ้างเพิ่มขึ้นจากคนละ ๔๐ บาท
เป็นคนละ ๔๕ บาท ต่อวันในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ย่อมเป็นการเพิ่ม
ภาระค่าใช้จ่ายแก่โจทก์ซึ่งต้องเผชิญสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและผลประกอบการของโจทก์ขาดทุน
เป็นการไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและข้อเท็จจริง เห็นควรให้เพิกถอนคำชี้ขาดของ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๒/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ ส่วนการที่โจทก์
ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และมีการเจรจากับสหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร ในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้และยุติการเจรจากันไปแล้ว โจทก์จึงต้องแจ้งข้อพิพาทแรงงานดังกล่าวต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น
แต่โจทก์มิได้แจ้งข้อพิพาทแรงงานภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว แม้โจทก์อ้างว่าได้นัด
สหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร ให้มาเจรจาข้อเรียกร้องในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
แต่สหภาพแรงงานกามาคัตสึ นวนคร ไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วมเจรจา โจทก์จึงแจ้งข้อพิพาทแรงงานดังกล่าว
ต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ซึ่งการที่ต่อมาพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานนัดหมาย
ให้มีการไกล่เกลี่ยในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นั้น หากพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเห็นว่าขั้นตอนดังกล่าวไม่ถูกต้องย่อมต้องไม่รับแจ้งข้อพิพาทแรงงานของโจทก์ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยว่าโจทก์แจ้งข้อพิพาทแรงงานภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดแล้วหรือไม่ คำวินิจฉัยของจำเลยตามคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๒ /๒๕๖๔
ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๓ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๒ /๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๒ /๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ ดังกล่าวถือเป็นการที่ศาลแรงงานกลางรับพิจารณาในประเด็นนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ซึ่งวรรคท้ายของบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “คดีตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ ... บัญญัติให้ร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้
จะดำเนินการในศาลแรงงานได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้แล้ว” เมื่อโจทก์เรียกร้องให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเช่นกรณีแห่งคดีนี้ พระราชบัญญัติ
แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้บัญญัติขั้นตอนและวิธีการให้ปฏิบัติจนกระทั่งมีคำวินิจฉัยชี้ขาดจากจำเลย ซึ่งเป็นคณะบุคคลดังที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว
แต่เมื่อวรรคสองแห่งมาตรา ๒๕ ของบทบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า “คำชี้ขาดของคณะบุคคลนั้นให้เป็นที่สุด
ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องและฝ่ายรับข้อเรียกร้องต้องปฏิบัติตาม” ดังนี้ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างย่อมจะต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น ไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คัดค้านหรือดำเนินการในศาลแรงงานได้อีก แม้โจทก์มีสิทธิฟ้องกล่าวหาว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ข้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่า
คำชี้ขาดนั้นฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่มีพยานหลักฐาน หรือไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ
หรือขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน หรือมิได้เป็นไปโดยสุจริต เมื่อคดีนี้คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้เช่นนั้น คงเพียงแต่บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า “...แต่จำเลยกลับไม่นำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ใช้ประกอบในการพิจารณา จำเลยกลับพิจารณาและอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือค่าอาหารตามสภาพเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ลูกจ้าง โจทก์เห็นว่าคำชี้ขาดที่จำเลยอ้างแต่เพียงสภาพเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และเพื่อเป็น
ขวัญกำลังใจแก่ลูกจ้าง เป็นเหตุผลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการรับฟังพยานหลักฐาน
ของฝ่ายโจทก์...” มิได้เป็นการบรรยายฟ้องที่โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
ที่ ๒/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ข้อ ๑ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ ที่ศาลแรงงานกลางรับพิจารณาในประเด็นนี้มาด้วยนั้น
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยอีกต่อไป
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด.
(ศุภร พิชิตวงศ์เลิศ - กนกรดา ไกรวิชญพงศ์ - ดาราวรรณ ใจคำป้อ)
มนุเชษฐ์ โรจนศิริบุตร - ย่อ
อิสรา วรรณสวาท - ตรวจ