คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 171/2566 นายกชกร เรืองนิ่ม โจทก์
บริษัทโคห์เลอร์ (ประเทศไทย)
จำกัด (มหาชน) จำเลย
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา ๕๒, 5๖ วรรคสอง วรรคสาม
การที่จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ตามที่ศาลแรงงานภาค 1 มีคำสั่งอนุญาตตามคดีหมายเลขแดงที่ ร ๕๐๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2562 เป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยปฏิบัติตามกฎหมายและคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑ แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะมีคำพิพากษา ที่ ๙๐๔๐/๒๕๖๒ ให้ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริง
จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๖ วรรคสองและวรรคสาม ก็ตาม แต่เมื่อต่อมาศาลแรงงานภาค 1 มีคำสั่ง
อีกครั้งหนึ่งโดยยังคงอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ซึ่งไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษายืน คดีถึงที่สุด เป็นการยืนยันคำสั่งของศาลแรงงานภาค ๑ ที่อนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่แรก การเลิกจ้างจึงมีผลตามกฎหมายมาโดยตลอด ทั้งเมื่อจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างแล้วโจทก์ก็ไม่ได้เข้าทำงานกับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้าง
และเงินโบนัสตามฟ้อง
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างรวม 297,018 บาท เงินโบนัส 58,289 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป และให้จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๑๖,๗๖๔ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป หากจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลาเจ็ดวันของต้นเงินที่ค้างชำระจนกว่า
จำเลยจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริง
และวินิจฉัยว่า ศาลจังหวัดสระบุรีมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๙๐๘/๒๕๖๑ ลงโทษโจทก์
ฐานกระทำอนาจารผู้อื่น จำคุก ๑ ปี และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี คุมความประพฤติ ๑ ปี คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ต่อศาลแรงงานภาค ๑
เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๖๕๒/๒๕๖๑ ต่อมาวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ ศาลแรงงานภาค ๑ มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ร ๕๐๕/๒๕๖๒ และจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์
ในวันเดียวกัน ซึ่งโจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบแล้ว หลังจากนั้นศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า
ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำอนาจารโดยถือตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดี
ส่วนอาญา เพราะเห็นว่าเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โดยมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบ แล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑
ให้ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นว่าโจทก์กระทำอนาจารหรือไม่ การกระทำดังกล่าว
เป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือไม่ และเป็นกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่ จากพยานหลักฐาน
ที่ปรากฏในสำนวน แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา
คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๖ วรรคสองและวรรคสาม ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ที่ ๙๐๔๐/๒๕๖๒ ต่อมาวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ศาลแรงงานภาค 1 มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาที่ ๑๙๔๘/๒๕๖๓ พิพากษายืน คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว การที่ศาลแรงงานภาค ๑ มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒
และจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ในวันเดียวกัน ย่อมทำให้นิติสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง โจทก์จึงพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าว แม้ต่อมา
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะมีคำพิพากษาที่ ๙๐๔๐/๒๕๖๒ ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑
ให้ศาลแรงงานภาค ๑ พิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ก็เนื่องจากเห็นว่าศาลแรงงานภาค ๑
มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่คู่ความในคดีดังกล่าวนำสืบ มิได้พิพากษากลับอันจะเป็นผลให้ลบล้างคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑ ที่อนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์และย้อนสถานะให้โจทก์
กลับเป็นลูกจ้างโดยปริยายอีก เพราะศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นปัญหาว่า โจทก์กระทำอนาจารอันเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง เป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้หรือไม่ อันเป็นประเด็นในเนื้อหาแห่งคดี เมื่อต่อมาศาลแรงงานภาค 1 มีคำพิพากษาฉบับใหม่อนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษายืน คดีถึงที่สุด ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2562 ซึ่งจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นต้นไป โจทก์ไม่มีสถานะเป็นลูกจ้างที่จำเลยจะต้องบอกเลิกจ้างอีกครั้ง และไม่มีสภาพการจ้างที่จำเลยจะต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างและเงินโบนัส
ให้แก่โจทก์อีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ตามที่ศาลแรงงานภาค 1 มีคำสั่งอนุญาต
ตามคดีหมายเลขแดงที่ ร ๕๐๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2562 เป็นการเลิกจ้างโจทก์
โดยปฏิบัติตามกฎหมายและคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑ แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
จะมีคำพิพากษา ที่ ๙๐๔๐/๒๕๖๒ ให้ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๖ วรรคสองและวรรคสาม ก็ตาม แต่เมื่อต่อมาศาลแรงงานภาค 1 มีคำสั่งอีกครั้งหนึ่งโดยยังคงอนุญาตให้จำเลย
เลิกจ้างโจทก์ได้ซึ่งไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
มีคำพิพากษายืน คดีถึงที่สุด เป็นการยืนยันคำสั่งของศาลแรงงานภาค ๑ ที่อนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่แรก การเลิกจ้างจึงมีผลตามกฎหมายมาโดยตลอด ทั้งเมื่อจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างแล้วโจทก์ก็ไม่ได้
เข้าทำงานกับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างและเงินโบนัสตามฟ้อง ที่ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(เกื้อ วุฒิปวัฒน์ - พนารัตน์ คิดจิตต์ - วรศักดิ์ จันทร์คีรี)
พรรณทิพย์ วัฒนกิจการ - ย่อ
อิสรา วรรณสวาท - ตรวจ