คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 93/2566 นางสาวสิริวดี เจียนศิริจินดา              โจทก์

                                                                  บริษัทธนสรร ไรซ์ จำกัด                  จำเลย

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔)

         หนังสือเลิกจ้างได้อ้างถึงหนังสือตักเตือน และระบุรายละเอียดว่า ตามที่จำเลยได้ออกหนังสือตักเตือนฉบับดังกล่าวให้โจทก์ทราบและแจ้งให้โจทก์ทราบถึงข้อความในหนังสือตักเตือนดังกล่าวว่า ให้โจทก์รับทราบแนวทางการทำงานที่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือกับจำเลยและเพื่อนร่วมงาน รวมถึง
ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายได้ เพื่อให้โอกาส
โจทก์ปรับปรุงตัวในการทำงาน
และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการขายของจำเลยเป็นไปโดยความเรียบร้อย ซึ่งเวลา
ได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว แต่โจทก์ยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับจำเลยและเพื่อนร่วมงาน
และไม่สามารถทำงานตามคำสั่งโดยชอบที่ได้รับมอบหมายได้ จำเลยถือว่าพฤติการณ์ของโจทก์
เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้าง
อันชอบด้วยกฎหมาย
และเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว โดยโจทก์ยังกระทำซ้ำ
อีก เมื่อจำเลยเคยมีหนังสือตักเตือนโจทก์มาก่อน แล้วโจทก์กระทำผิดในเรื่องเดียวกันอีกภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี
นับแต่วันที่โจทก์กระทำผิดครั้งแรก จึงเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

         แม้ตามประกาศเงินหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจะระบุว่า หากลูกจ้างผิดนัดผิดสัญญานี้ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ลูกจ้างตกลงยินยอม
ให้นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และหรือมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้างโดยให้นายจ้างมีสิทธิ
นำค่าเสียหายมาหักออกจากค่าจ้าง และหากยังไม่เพียงพอกับค่าเสียหายที่เกิดขึ้น นายจ้างมีสิทธิเรียกริบหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการกระทำของโจทก์ทำให้จำเลย
ได้รับความเสียหายอย่างไร จึงไม่มีค่าเสียหายที่จะทำให้จำเลยมีสิทธินำค่าเสียหายมาหักออกจาก
หลักประกันการทำงาน โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นเวลา 4 ปีเศษ ยังไม่ครบ 5 ปี และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องคืนเงินหลักประกันการทำงานให้แก่โจทก์ในอัตรา 1.5 เท่า ของเงินประกันตามประกาศเงินหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา คิดเป็นเงิน 30,000 บาท เมื่อจำเลยชำระคืนให้แก่โจทก์เพียง 20,000 บาท จึงต้องชำระส่วนที่ยังขาดอีก 10,๐๐๐ บาท

_______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 244,800 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 40,800 บาท เงินหลักประกันการทำงานซึ่งยังขาดอีก 20,000 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 734,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และสั่งให้จำเลยไปแก้ไขสาเหตุการเลิกจ้างต่อสำนักงานประกันสังคม หากไม่ไป
ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

         จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย 244,800 บาท และเงินหลักประกัน
การทำงาน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่
20 กรกฎาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยไปแก้ไขสาเหตุการเลิกจ้างโจทก์ต่อสำนักงานประกันสังคมว่าเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก          

         โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 จำเลยว่าจ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายเป็น Senior Sales Coordinator จ่ายค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 40,800 บาท จำเลยหักค่าจ้างของโจทก์เดือนละ 2,000 บาท เป็นระยะเวลา ๑๐ เดือนติดต่อกัน รวมเป็นเงิน 20,000 บาท เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานและได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ไปแล้ว
จำเลยมีหนังสือตักเตือนโจทก์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 โดยอ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์
โดยอ้างเหตุว่า โจทก์ทำผิดซ้ำคำเตือน แล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทำงานล่าช้าและมักจะเกี่ยงให้ผู้อื่นทำงานแทนตนจนไม่เป็นที่พอใจของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา จำเลยจึงออกหนังสือตักเตือนโจทก์ โดยระบุว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรับผิดชอบ บกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เอาใจใส่งานและเฉื่อยงาน เพื่อให้โจทก์ปรับปรุงพฤติกรรมในการทำงาน ถือได้ว่าหนังสือตักเตือนดังกล่าวออกโดยชอบแล้ว แต่เมื่อพิจารณาหนังสือเลิกจ้าง กลับระบุสาเหตุ
แห่งการเลิกจ้างว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานด้วยการไม่ให้ความร่วมมือ
กับนายจ้างและเพื่อนร่วมงาน และไม่สามารถทำตามคำสั่งโดยชอบที่ได้รับมอบหมายได้ อันเป็นคนละเหตุ
กับที่ระบุไว้ในหนังสือเตือน จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำผิดซ้ำคำเตือนในเหตุเดียวกันอีก จำเลยจะอ้างว่า
โจทก์ทำผิดซ้ำคำเตือนดังกล่าวและเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยมิได้ แต่การที่โจทก์ทำงานล่าช้า
และเกี่ยงให้ผู้อื่นทำงานแทนตนอยู่เป็นประจำจนเป็นเหตุให้จำเลยต้องออกหนังสือตักเตือนนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ถือว่า
เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจากจำเลย และแม้จะเป็นการเลิกจ้างโดยมิใช่กรณีตามมาตรา ๑๑๙
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 67 จำเลยต้องจ่ายค่าจ้าง
สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่โจทก์มีสิทธิ
ได้รับก็ตาม แต่ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ 3 ข้อ 3 ระบุให้พนักงานที่ทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีเพียง 6 วัน มิใช่ 12 วัน ตามที่โจทก์อ้าง
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่ถูกเลิกจ้างไปแล้ว 3 วันครึ่ง จึงเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน
ที่พึงมีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนจากจำเลยได้อีก
ส่วนเงินหลักประกันการทำงานนั้น เมื่อโจทก์ทำงานกับจำเลยเพียง 4 ปีเศษ ยังไม่ครบ 5 ปี จึงมีสิทธิได้รับคืนเงินหลักประกันการทำงานอัตรา 1.5 เท่า ตามที่ระบุไว้ในประกาศเงินหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไร จำเลยย่อมมีหน้าที่ชำระเงินหลักประกันการทำงานคืนให้แก่โจทก์ในอัตราดังกล่าวคิดเป็นเงิน 30,000 บาท เมื่อจำเลยชำระคืนให้แก่โจทก์เพียง 20,000 บาท จึงต้องชำระส่วนที่ยังขาดอีก 10,000 บาท

         ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า สาเหตุที่โจทก์ไม่สามารถนำพยานบุคคลอีก 3 ปากมาเบิกความต่อศาลได้
เป็นเพราะพยานโจทก์ปากนางสาวบีซึ่งเคยเป็นลูกจ้างจำเลยที่โจทก์ติดต่อให้มาเบิกความต่อศาล
แต่เมื่อถึงวันนัดนางสาวบีแจ้งว่า นางสาวบีและมารดานางสาวบีกังวลว่าหากเดินทางออกมาข้างนอก
จะมีความเสี่ยงที่จะติดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ซึ่งนางสาวบีอาจนำกลับไปติดบุตร หรือมารดาได้ จึงปฏิเสธที่จะมาเบิกความเป็นพยานให้โจทก์ ส่วนพยานโจทก์ปากนายกัญชัช สามีโจทก์ ที่ลางาน
กับจำเลยเพื่อมาเป็นพยานให้โจทก์ในวันนัดสืบพยานโจทก์ แต่เมื่อถึงวันนัด นางดวงทิพย์ กรรมการจำเลย
ส่งข้อความมาทางแอปพลิเคชันไลน์ให้นายกัญชัชเข้าประชุม นายกัญชัชจึงไม่สามารถเดินทางมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ต่อศาลได้เพราะนางดวงทิพย์จงใจขัดขวางไม่ให้นายกัญชัชมาเบิกความเป็นพยานต่อศาล ส่วนนางสาวมิ้นซึ่งเคยเป็นพนักงานจำเลยฝ่ายโอเปอร์เรชั่นซึ่งโจทก์ติดต่อให้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ แต่เมื่อถึงวันนัดนางสาวมิ้นปฏิเสธที่จะมาเบิกความเป็นพยานโจทก์โดยให้เหตุผลว่า ยังทำงานให้บริษัท
ที่ทำกิจการในลักษณะเดียวกับจำเลย เกรงว่าจะมีปัญหาต่อหน้าที่การงานในอนาคต แม้โจทก์ไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงต่อศาล แต่โจทก์ก็นำสืบอ้างส่งพยานเอกสารเพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีความรับผิดชอบ ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ และเอาใจใส่งาน เช่น เอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.8
โดยเอกสารหมาย จ.5 เป็นรายงานการได้รับมอบหมายในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จำเลยอ้างในหนังสือตักเตือนว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เอาใจใส่งาน แต่เอกสารหมาย จ.5 เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ดูแลการสั่งซื้อ
หรือขายสินค้าของจำเลยกับคู่ค้าของจำเลยมาโดยตลอด และโจทก์ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ส่วนเอกสารหมาย จ.6 เป็นบทสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ในช่วงระหว่างวันที่
1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 ซึ่งจำเลยมีนโยบายให้ลูกจ้างจำเลยและโจทก์ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) เมื่อพิจารณาจากข้อความในบทสนทนาจะพบว่าโจทก์โต้ตอบ
การทำงานกับจำเลย และหรือผู้บังคับบัญชา และหรือผู้ร่วมงานในสายงานอย่างทันท่วงทีไม่ปล่อยเวลาให้ล่าช้า ส่วนเอกสารหมาย จ.7 ปรากฏว่ากรรมการจำเลยและนายนิรุตม์ มอบหมายให้โจทก์
ทำรายงานสรุปสถานการณ์การส่งออกข้าวของประเทศไทยภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
เวลา 16 นาฬิกา ซึ่งโจทก์ก็ได้เร่งรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานส่งให้แก่กรรมการจำเลย
ภายในกำหนดเวลา ปรากฏตามรายงานสรุปสถานการณ์การส่งออกข้าวของประเทศไทย เอกสารหมาย จ.8 พยานเอกสารตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.8 ดังกล่าว สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีพฤติการณ์ขาดความรับผิดชอบ บกพร่องต่อหน้าที่ ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ทำงานล่าช้าและมักจะเกี่ยง
ให้ผู้อื่นทำงานแทนตน จนไม่เป็นที่พอใจของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา จำเลยออกหนังสือตักเตือนโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.3 โดยระบุว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในการทำงานด้วยการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรับผิดชอบ บกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เอาใจใส่งาน เพื่อให้โจทก์ปรับปรุงพฤติกรรมในการทำงาน เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์หรือบีบบังคับโดยการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
การที่จำเลยระบุสาเหตุการเลิกจ้างตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.11 หรือ ล.6 แตกต่างหรือเป็นคนละเหตุกับที่ระบุไว้ในหนังสือเตือน เอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.3 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยมีเจตนา
ที่จะกลั่นแกล้งโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานภาค 1 ไม่ได้หยิบยกพยานเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.8 ประกอบพยานหลักฐานอื่น คือ เอกสารหมาย จ.10 และ จ.15
ถึง จ.19 ว.จ.1 และ ว.จ.2 มาชั่งน้ำหนักในการพิจารณาคดี นั้น ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจ
ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 1 ที่รับฟังข้อเท็จจริงมาแล้วว่า โจทก์ทำงานล่าช้า
และมักจะเกี่ยงให้ผู้อื่นทำงานแทนตน จนไม่เป็นที่พอใจของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา
จนเป็นเหตุให้จำเลยต้องออกหนังสือตักเตือน ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิ
เรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจากจำเลย อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อแรกว่า โจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือน
ในเหตุเดียวกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) หรือไม่ และจำเลย
ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะทำงาน
เป็นพนักงานจำเลย โจทก์ทำงานล่าช้าและมักจะเกี่ยงให้ผู้อื่นทำงานแทนตนเรื่อยมาจนไม่เป็นที่พอใจของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เมื่อพิเคราะห์หนังสือเลิกจ้าง เอกสารหมาย จ.11 หรือ ล.6 แล้ว ปรากฏว่า หนังสือดังกล่าวได้อ้างถึงหนังสือตักเตือน ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 30 เมษายน 2563 และระบุรายละเอียดว่า ตามที่จำเลยได้ออกหนังสือตักเตือนฉบับดังกล่าวให้โจทก์ทราบและแจ้งให้โจทก์ทราบถึงข้อความในหนังสือตักเตือนดังกล่าวว่า ให้โจทก์รับทราบแนวทางการทำงานที่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือ
กับจำเลยและเพื่อนร่วมงาน รวมถึงไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายได้ เพื่อให้โอกาสโจทก์ปรับปรุงตัวในการทำงานและเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการขายของจำเลยเป็นไป
โดยความเรียบร้อย ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว แต่โจทก์ยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับจำเลยและเพื่อนร่วมงาน และไม่สามารถทำงานตามคำสั่งโดยชอบที่ได้รับมอบหมายได้ จำเลยถือว่าพฤติการณ์ของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบ
ด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว โดยโจทก์ยังกระทำซ้ำอีก
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ซึ่งหนังสือตักเตือนฉบับที่ 1 ลงวันที่ 30 เมษายน 2563 เอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.3 ระบุว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่
29 เมษายน 2563 โจทก์ไม่ติดตามงาน ทำงานพลาดบ่อยครั้ง และตอบอีเมลล่าช้า และในช่วงที่ผ่านมาของปี 2563 โจทก์ยังลาป่วย 3 วัน 4 ชั่วโมงครึ่ง ลากิจ 3 วัน และมาสาย 4 ครั้ง รวม 66 นาที
จำเลยถือว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรับผิดชอบ บกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เอาใจใส่ในงาน เฉื่อยงาน เป็นฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ 1.1 พนักงานต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โดยเคร่งครัด ข้อ 1.2 พนักงานต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ใส่ใจในการทํางาน ข้อ 2.1 พนักงานต้องมาทำงานอย่างปกติ สม่ำเสมอ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็งตามวันและเวลาทำงานของตน ข้อ 2.7 พนักงานต้องไม่เฉื่อยงาน หรือปฏิบัติงานให้ล่าช้าโดยเจตนา อันอาจจะส่งผลเสียต่องานโดยรวมต่อผู้บังคับบัญชาหรือบริษัทฯ เมื่อพิจารณาหนังสือเลิกจ้างประกอบหนังสือตักเตือนดังกล่าวแล้วแสดงให้เห็นว่า ล้วนเป็นการระบุการกระทำผิด
ในหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวกับการขาดความรับผิดชอบและการบกพร่องต่อหน้าที่การงาน กับการเฉื่อยงานของโจทก์ อันเป็นพฤติการณ์กระทำผิดของโจทก์ตามที่ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงมานั่นเอง
ถือได้ว่า โจทก์กระทำความผิดซ้ำคำเตือนในเรื่องเดียวกันตามกฎระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัทจำเลย เอกสารหมาย ล.8 หน้า 11/21 หมวด 7 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 1.1 พนักงานต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานโดยเคร่งครัด และข้อ 1.2 พนักงาน
ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ใส่ใจในการทำงาน เมื่อจำเลยเคยมีหนังสือตักเตือนโจทก์มาก่อน แล้วโจทก์กระทำผิดในเรื่องเดียวกันอีกภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์กระทำผิดครั้งแรก จึงเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ทำผิดซ้ำ
คำเตือนในเหตุเดียวกัน ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยจึงไม่จำต้องไปแก้ไขสาเหตุการเลิกจ้างโจทก์ต่อสำนักงานประกันสังคมตามที่ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษามา อุทธรณ์ของจำเลย
ข้อนี้ฟังขึ้น

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อสุดท้ายว่า จำเลยต้องชำระเงินหลักประกัน
การทำงานให้แก่โจทก์เพิ่มอีก 10,๐๐๐ บาท หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ประกาศเงินหลักประกัน
การปฏิบัติตามสัญญาตามเอกสารหมาย ล.9 ระบุว่า “ตามที่ทางบริษัทฯ ได้มีการกำหนดหลักประกัน
การปฏิบัติตามสัญญาระหว่างพนักงาน ซึ่งเงินดังกล่าวจะคืนเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเลิกจ้าง
ตามข้อกำหนดในสัญญาจ้าง ทางบริษัทฯ จะคืนเงินหลักประกันดังกล่าวให้กับลูกจ้าง โดยจะโอน
ให้พร้อมกับเงินเดือนในเดือนสุดท้าย ตามอัตราดังต่อไปนี้ ... อายุการทำงานตั้งแต่ 3 ปีถึง 5 ปี
คืนในอัตรา 1.5 เท่าของเงินประกัน...” และสัญญาจ้างแรงงานตามเอกสารหมาย ล.10
ข้อ 4 หลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา ระบุว่า “เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาตลอดจนความรับผิดและหนี้สินอื่นใดของลูกจ้าง ลูกจ้างยินดีให้นายจ้างหักเงินจากค่าจ้างเป็นรายเดือน
เดือนละ 2,000 บาท ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 10 เดือน เป็นจำนวนเงินรวม 20,๐๐๐ บาท
เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะเลิกจ้าง และลูกจ้างได้ปฏิบัติตามข้อ 6 และไม่กระทำการผิดนัดตามข้อ 5 นายจ้างจะคืนเงินหลักประกันปฏิบัติตามสัญญาข้างต้นให้กับลูกจ้าง โดยนายจ้างจะทำการจ่ายคืน
ในรอบการจ่ายค่าจ้างถัดไป” และข้อ 5 การผิดนัดผิดสัญญา ระบุว่า “หากลูกจ้างผิดนัดผิดสัญญานี้
โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ลูกจ้างตกลงยินยอมให้นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และหรือมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้างโดยให้นายจ้างมีสิทธิ
นำค่าเสียหายมาหักออกจากค่าจ้าง และหากยังไม่เพียงพอกับค่าเสียหายที่เกิดขึ้น นายจ้างมีสิทธิเรียกริบหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาในข้อ 4” ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่ปรากฏว่า
การกระทำของโจทก์ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไร จึงไม่มีค่าเสียหายที่จะทำให้จำเลยมีสิทธิ
นำค่าเสียหายมาหักออกจากหลักประกันการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ข้อ 4 และข้อ ๕
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นเวลา 4 ปีเศษ ยังไม่ครบ 5 ปี และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องคืนเงินหลักประกันการทำงานให้แก่โจทก์ในอัตรา 1.5 เท่า ของเงินประกันตามประกาศเงินหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา คิดเป็นเงิน 30,000 บาท เมื่อจำเลยชำระคืนให้แก่โจทก์เพียง 20,000 บาท จึงต้องชำระส่วนที่ยังขาดอีก 10,๐๐๐ บาท ที่ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษามานั้น
ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

 

 

 

 

            พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ และจำเลยไม่ต้องไปแก้ไขสาเหตุการเลิกจ้างโจทก์ต่อสำนักงานประกันสังคม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา
ศาลแรงงานภาค ๑.

(กนกรดา  ไกรวิชญพงศ์ – ศุภร  พิชิตวงศ์เลิศ – ดาราวรรณ  ใจคำป้อ)

วิฑูรย์ ตรีสุนทรรัตน์ - ย่อ

อิสรา  วรรณสวาท - ตรวจ