คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 4568 – 4569/2562 นายอนุรักษ์ ภูเวียงแก้ว

                                                                                กับพวก                      โจทก์ 

                                                                                บริษัทเจนเนอรัล

                                                                                    มอเตอร์ส (ประเทศไทย)

                                                                                    จํากัด                       จําเลย 

ป.พ.พ. มาตรา ๕ 

พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๔ 

         แม้คําฟ้องของโจทก์ที่ ๒ และที่ 6 จะบรรยายฟ้องไว้ตอนหนึ่งว่า การกระทําของจําเลย
เป็นการกระทําใด ๆ ให้โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 ไม่สามารถทนทํางานอยู่ต่อไปได้เพราะเหตุที่ลูกจ้าง
ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานนัดชุมนุม ทําคําร้อง ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดําเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยานหรือให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
ก็ตาม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่า จําเลยทําสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรวมทั้งโจทก์ที่ ๒ และที่ 6 ขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ไม่เป็นคุณยิ่งกว่าแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 และไม่ตรงตามข้อเรียกร้องที่โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 รับข้อเสนอของจําเลย โดยจําเลยปรับลดค่าจ้างของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ลง สวัสดิการอื่น ๆ ยกเลิกทั้งหมด ย้ายสถานที่ทํางาน
และตําแหน่งหน้าที่งาน อันเป็นการกล่าวหาว่าจําเลยทําสัญญาจ้างแรงงานขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามข้อเรียกร้องของจําเลยที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ยอมรับ โดยไม่เป็นคุณยิ่งกว่าแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องยื่นคําร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการอย่างใดก่อนที่จะดําเนินการฟ้องร้องในศาลแรงงาน โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 จึงมีอํานาจฟ้องจําเลยเป็นคดีนี้ได้โดยไม่ต้องยื่นคําร้องกล่าวหาจําเลยต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๔ ก่อน 

         เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคําสั่งที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ สั่งให้จําเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ 6 กับพวก กลับเข้าทํางานในตําแหน่งหน้าที่เดิมและจ่ายค่าเสียหาย ทั้งฝ่ายนายจ้าง
และลูกจ้างจะต้องปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว แม้จําเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะไม่พอใจคําสั่งและมีอํานาจฟ้องต่อศาลแรงงานขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ แต่ตราบใดที่ศาลแรงงานยังไม่เพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งดังกล่าว จําเลยย่อมยังคงต้องผูกพันถือปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว แต่การที่จําเลยไม่ยอมรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทํางานตามคําสั่งดังกล่าว การแจ้งข้อเรียกร้องเพิ่มเติมรวม ๑๑ ข้อต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ 6 กับพวก แล้วมีการปิดงานต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ 6 กับพวกต่อไป การเรียกตัวโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวก
ไปฝึกอบรมหลายครั้งโดยในระหว่างการฝึกอบรมนั้นมีการเจรจาต่อรองจูงใจให้โจทก์ที่ ๒ และที่ 6
กับพวกออกจากงานด้วยข้อเสนอจะจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษตามโครงการสมัครใจลาออกกรณีพิเศษ มีลูกจ้างบางส่วนยอมตาม จนเหลือลูกจ้างที่ยังประสงค์จะกลับเข้าทํางานรวมทั้งโจทก์ที่ ๒ และที่ 6 เพียง ๑๓ คน การที่จําเลยเพิ่งจัดให้โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 รายงานตัวกลับเข้าทํางานเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๑ อันเป็นเวลาภายหลังจากคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคําสั่งดังกล่าวเป็นระยะเวลาเกือบ ๕ ปี และในวันเดียวกันก็มีคําสั่งให้ปฏิบัติงานกําหนดให้โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 ย้ายไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีหน้าที่ขูดสีทาสี โดยจ่ายค่าจ้างเพียงเดือนละ 9,600 บาท ไม่ต้องตามคําสั่งดังกล่าวและมีผลในทางรอนสิทธิลูกจ้าง พฤติการณ์ของจําเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า จําเลยไม่ต้องการรับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทํางานตามคําสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ ทําให้โจทก์ที่ ๒ และที่ 6 เสียสิทธิที่จะกลับ
เข้าทํางานในตําแหน่งเดิมหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่พึงได้รับตามกฎหมาย อันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัย พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ย่อมเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์
แห่งกฎหมายดังกล่าว และย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 5

______________________________

         โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้เพิกถอนหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพ
การจ้างตามที่บริษัทเรียกร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ และคำสั่งให้ปฏิบัติงาน ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ให้จำเลยจัดให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และสภาพการจ้างเดิมที่จังหวัดระยอง ให้ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการตามที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เคยได้รับก่อนจำเลยใช้สิทธิปิดงาน
โดยให้มีผลนับแต่วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัด และเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลา ๗ วัน นับแต่วันครบกำหนด จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖

         จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษาให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมหรือเทียบเท่าตำแหน่งหน้าที่เดิมโดยได้รับค่าจ้างสำหรับโจทก์ที่ ๒ เดือนละไม่ต่ำกว่า ๑๕,๓๔๙ บาท สำหรับโจทก์ที่ ๖ เดือนละไม่ต่ำกว่า ๑๔,๑๑๘ บาท นับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

         โจทก์ที่ ๒ ที่ ๖ และจำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติในชั้นพิจารณาของ
ศาลแรงงานภาค ๑ และตามที่ศาลแรงงานภาค ๑ รับฟังมาว่า เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และวันที่
๑ ธันวาคม ๒๕๔๕ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ตามลำดับ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ณ วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๗ โจทก์ที่ ๒ มีหน้าที่พ่นสีรถยนต์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๓๔๙ บาท และโจทก์ที่ ๖ มีหน้าที่ดูแลระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในการผลิต ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๔,๑๑๘ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๘ ของทุกเดือน โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทย ต่อมาวันที่ ๙ และวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ สหภาพแรงงานเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทย และจำเลยตามลำดับ ยื่นข้อเรียกร้องขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีการเจรจาแต่ไม่สามารถตกลงกันได้จนเกิดเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ สหภาพแรงงานนัดหยุดงานตั้งแต่วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และจำเลยใช้สิทธิปิดงานในวันเดียวกัน วันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวก โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖
กับพวกยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ ลงวันที่
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ว่าจำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกยื่นข้อเรียกร้อง ร่วมชุมนุมเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๑ (๑) จึงสั่งให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างถึงวันรับกลับเข้าทำงาน ตามสำเนาคำสั่ง แต่จำเลยไม่รับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงาน วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ จำเลยแจ้งข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างรวม ๑๑ ข้อ ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวก ตามสำเนาหนังสือ พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้แทนเจรจาฝ่ายจำเลย ๔ คน แต่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกไม่ได้ตั้งผู้แทนเข้าร่วมการเจรจา
ข้อเรียกร้องและระงับข้อพิพาทแรงงานตามที่กฎหมายกำหนด กลายเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงใช้สิทธิปิดงานตั้งแต่วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๗ เป็นต้นมา ตามสำเนาหนังสือ
เรื่องประกาศปิดงาน วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกยื่นหนังสือถึงจำเลยยอมรับ
ข้อเรียกร้องของจำเลยโดยไม่มีเงื่อนไขและขอกลับเข้าทำงาน แต่จำเลยยังคงไม่รับกลับเข้าทำงาน
วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และสภาพการจ้างเดิม วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ ๒๗ - ๙๒/๒๕๖๑ ให้จำเลยรับ
โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันที่
๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จนถึงวันรับกลับเข้าทำงานตามสำเนาคำสั่ง วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลย
มีหนังสือแจ้งโจทก์ที่ ๒ กับพวกให้รายงานตัวเพื่อกลับเข้าทำงานในวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๒๑ แต่จำเลยยกเลิกวันนัดและนัดใหม่เป็นวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ที่สนามพัฒนากอล์ฟคลับแอนด์รีสอร์ท ซึ่งโจทก์ที่ ๒ กับพวกไปรายงานตัวตามกำหนดวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ในวันดังกล่าวจำเลยทำหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้องให้ลูกจ้างที่ขอกลับเข้าทำงานลงลายมือชื่อ และมีคำสั่งให้ปฏิบัติงาน ให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีหน้าที่ขูดสี ทาสี ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท ระหว่างวันที่ ๗ ถึงวันที่
๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยสั่งให้โจทก์ที่ ๒ กับพวกเข้ารับการฝึกอบรมก่อนเข้าทำงานและทดสอบหลายครั้ง แต่ละครั้งจำเลยแจ้งข้อเสนอสำหรับลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะทำงานต่อไป จะได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษ
ซึ่งมีลูกจ้างบางคนยอมรับข้อเสนอ คงเหลือลูกจ้างที่ยังประสงค์กลับเข้าทำงานรวมโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖
แล้วทั้งสิ้น ๑๓ คน แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยเปลี่ยนแปลงสภาพ
การจ้างที่ไม่เป็นคุณ กรณีไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่มีการฝ่าฝืน ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๔ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
มีหน้าที่ขูดสีเก่า ทาสีใหม่ ทาสีโครงหลังคา ได้รับค่าจ้างเพียงเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท แตกต่างจากเดิม เป็นการลดตำแหน่งและลดค่าจ้างของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ โดยโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไม่ยินยอม ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เป็นการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ และเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมหรือเทียบเท่าตำแหน่งหน้าที่เดิม โดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสำหรับโจทก์ที่ ๒ เดือนละ ๑๕,๓๔๙ บาท และโจทก์ที่ ๖ เดือนละ ๑๔,๑๑๘ บาท นับแต่วันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป สำหรับคำขอที่ให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่จังหวัดระยองและเพิกถอนหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้องและคำสั่งให้ปฏิบัติงาน
ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ นั้น จำเลยสามารถโยกย้ายสถานที่ทำงานของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ตามข้อเรียกร้องของจำเลยที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เคยให้การยอมรับไว้ก่อนแล้วได้ กรณีไม่จำต้องเพิกถอนหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้องและคำสั่งให้ปฏิบัติงาน ลงวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ส่วนคำขอดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลา
๗ วันนั้น เมื่อไม่ใช่กรณีที่นายจ้างจงใจไม่จ่ายค่าจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๙ จึงไม่กำหนดให้

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ มีอำนาจฟ้องหรือไม่
เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ จะบรรยายฟ้องไว้ตอนหนึ่งว่า การกระทำของจำเลยกระทบสิทธิของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เป็นการกระทำใด ๆ ให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ เพราะเหตุที่ลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานนัดชุมนุม ทำคำร้อง ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา
หรือดำเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยานหรือให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วย
การคุ้มครองแรงงานก็ตาม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่า จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรวมทั้งโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเนื่องจากสัญญาจ้างแรงงานที่จำเลยทำไม่เป็นคุณยิ่งกว่าแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ และไม่ตรงตาม
ข้อเรียกร้องที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ รับข้อเสนอของจำเลย โดยจำเลยปรับลดค่าจ้างของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เหลือเพียงเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท สวัสดิการอื่น ๆ ยกเลิกทั้งหมด ย้ายสถานที่ทำงานและตำแหน่งหน้าที่งาน ทำให้จำเลยได้เปรียบสมาชิกสหภาพแรงงานรวมทั้งโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เกินสมควร ขอให้เพิกถอนหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ และคำสั่งให้ปฏิบัติงาน ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ อันเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามข้อเรียกร้องของจำเลยที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ยอมรับ โดยไม่เป็นคุณยิ่งกว่าแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ทั้งเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือคำสั่งของนายจ้างที่ทำให้นายจ้างได้เปรียบสหภาพแรงงานรวมทั้งโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เกินสมควร ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องยื่นคำร้อง
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการอย่างใดก่อนที่จะดำเนินการฟ้องร้อง
ในศาลแรงงาน โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๔ ก่อน
ที่ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับจำเลยว่า ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษาให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมหรือเทียบเท่าตำแหน่งหน้าที่เดิมโดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสำหรับโจทก์ที่ ๒ เดือนละ ๑๕,๓๔๙ บาท และโจทก์ที่ ๖ เดือนละ ๑๔,๑๑๘ บาท นับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยไม่เพิกถอนหนังสือตกลง
และยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ และคำสั่งให้ปฏิบัติงาน ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นการชอบหรือไม่ และโจทก์ใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า
เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกรวม ๒๙๖ คน
กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน ตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างจะต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดังกล่าว
แม้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะไม่พอใจคำสั่งและมีอำนาจฟ้องต่อศาลแรงงานขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ แต่ตราบใดที่ศาลแรงงานยังไม่เพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าว จำเลยย่อมยังคงต้องผูกพันถือปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว การที่จำเลย
ไม่รับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกรวม ๒๙๖ คน กลับเข้าทำงาน ทั้งยังใช้สิทธิเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างบางส่วนด้วยการแจ้งข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างรวม ๑๑ ข้อ ลงวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวก ดังกล่าว จนกลายเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ แล้วจำเลยปิดงานต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกอีกครั้งตั้งแต่วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๗ เป็นต้นมาเป็นระยะเวลาอีก ๓ ปีเศษ จนเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกรวม
๖๖ คน ยื่นหนังสือถึงจำเลยยอมรับข้อเรียกร้องของจำเลยโดยไม่มีเงื่อนไขและขอกลับเข้าทำงาน เพื่อให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงานตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
แต่จำเลยยังคงไม่รับกลับเข้าทำงาน เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกต้องยื่นคำร้อง
ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงาน
ในตำแหน่งหน้าที่และสภาพการจ้างเดิมอีกครั้ง และแม้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่
๒๗ - ๙๒/๒๕๖๑ ตามสำเนาคำสั่ง สั่งให้จำเลยรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกกลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จนถึงวันรับกลับเข้าทำงานก็ตาม แต่จำเลยก็ยังทำหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้องกำหนดให้ลูกจ้าง
ที่จะขอกลับเข้าทำงานต้องลงลายมือชื่อเสียก่อน และมีคำสั่งให้ปฏิบัติงานกำหนดให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีหน้าที่ขูดสี ทาสี ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท ดังนี้ ไม่ว่าโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ จะได้ลงลายมือชื่อในหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้าง
ตามที่บริษัทเรียกร้องหรือไม่ก็ตาม แต่การที่จำเลยไม่ยอมรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกซึ่งถูกจำเลย
เลิกจ้างกลับเข้าทำงานตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ ก็ดี การแจ้ง
ข้อเรียกร้องเพิ่มเติมรวม ๑๑ ข้อต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวก ตามสำเนาหนังสือแล้วมีการปิดงาน
ต่อโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกต่อไปก็ดี การเรียกตัวโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกไปฝึกอบรมหลายครั้งโดยในระหว่างการฝึกอบรมนั้นมีการเจรจาต่อรองจูงใจให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกออกจากงาน
ด้วยข้อเสนอจะจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษตามโครงการสมัครใจลาออกกรณีพิเศษ มีลูกจ้างบางส่วนยอมตาม จนเหลือลูกจ้างที่ยังประสงค์จะกลับเข้าทำงานรวมทั้งโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เพียง ๑๓ คน ก็ดี การที่จำเลยเพิ่งจัดให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ รายงานตัวกลับเข้าทำงานเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ อันเป็นเวลาภายหลังจากคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นระยะเวลาเกือบ ๕ ปี ก็ดี และในวันเดียวกันก็มีคำสั่งให้ปฏิบัติงาน ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ กำหนดให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ย้ายไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีหน้าที่ขูดสี
ทาสี โดยจ่ายค่าจ้างเพียงเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท ไม่ต้องตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่
๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ และมีผลในทางรอนสิทธิลูกจ้างก็ดี พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยไม่ต้องการรับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงานตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ ทำให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ เสียสิทธิที่จะกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่พึงได้รับตามกฎหมาย เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัย พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. ๒๕๑๘ ย่อมเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์แห่งกฎหมายดังกล่าว และย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา ๕ และยังเป็นผลให้จำเลยไม่อาจอ้างเหตุที่จำเลยฟ้องขอเพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ และคดีอยู่ระหว่าง
การพิจารณาของศาลฎีกา เพื่อให้จำเลยได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มาแจ้งข้อเรียกร้องและเจรจาต่อรองการขอกลับเข้าทำงานของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ได้ คำสั่งจำเลยให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไปปฏิบัติงานหน้าที่ขูดสี ทาสี อัตราค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท จึงไม่ผูกพันโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ โดยไม่จำต้องเพิกถอนหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่จำเลยเรียกร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ และคำสั่ง
ให้ปฏิบัติงาน ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ หากแต่จำเลยยังผูกพันต้องรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับ
เข้าทำงานตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ กล่าวคือ ในการรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กลับเข้าทำงานเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยต้องมอบหมายงานให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ทำในตำแหน่งหน้าที่เดิมหรือเทียบเท่าตำแหน่งหน้าที่เดิมโดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างสำหรับโจทก์ที่ ๒ เดือนละ ๑๕,๓๔๙ บาท และโจทก์ที่ ๖ เดือนละ ๑๔,๑๑๘ บาท ปัญหาเกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานภาค ๑ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ย่อมมีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ ที่ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยคดีส่วนนี้มานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
เห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

         ส่วนที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ อุทธรณ์ว่า หนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ และคำสั่งให้ปฏิบัติงานของจำเลย ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ขัดและแย้ง
ต่อข้อเรียกร้องของจำเลยที่ขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ไม่เป็นคุณยิ่งกว่าแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับสมาชิกสหภาพแรงงานเกินสมควร จึงมีเหตุให้เพิกถอนเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว และที่จำเลยอุทธรณ์ว่า
ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนเนื่องจากโจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๖ ไม่ได้ลงชื่อในหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่จำเลยเรียกร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ นั้น เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ จะได้ลงชื่อในหนังสือตกลงและยินยอมรับสภาพการจ้างตามที่บริษัทเรียกร้องหรือไม่ก็ตาม การที่จำเลยไม่ยอมรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวกซึ่งถูกจำเลยเลิกจ้างกลับเข้าทำงานอันเป็นการไม่ถือปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ ๑๑๑ - ๔๐๖/๒๕๕๖ และพฤติการณ์ต่อเนื่องภายหลังจากนั้นของจำเลยเพื่อจะไม่ต้องรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับพวก
ซึ่งถูกจำเลยเลิกจ้างกลับเข้าทำงานตามคำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต กับคำสั่งให้ปฏิบัติงานของจำเลยที่จำเลยสั่งให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ไปปฏิบัติงานหน้าที่ขูดสี ทาสี อัตราค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๐๐ บาท ไม่ผูกพันโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ โดยไม่จำต้องเพิกถอนแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ กับอุทธรณ์
ของจำเลยดังกล่าว จึงไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
อันควรได้รับการวินิจฉัย ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีการพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย

         สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ ที่ขอให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องแก่โจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๖ นั้น เห็นว่า โจทก์ที่ ๒ และที่ ๖ มิได้กล่าวอ้างว่า คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑ ในเรื่องดอกเบี้ยไม่ถูกต้องอย่างไร และจำเลยต้องจ่ายดอกเบี้ยเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวไว้
โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีการพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยอีกเช่นกัน

         พิพากษายืน.

(อนันต์  คงบริรักษ์ – วัฒนา  สุขประดิษฐ์ – สุวรรณา  แก้วบุตตา)

วิฑูรย์  ตรีสุนทรรัตน์ – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ