คําพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษที่ ๔๕๗๘/๒๕๖๒ นายไมเคิล ปีเตอร์ ทาวเวอส์           โจทก์ 

                                                                     บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จํากัด

                                                                     (มหาชน)                                 จําเลย 

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118, 119

         แม้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจําเลยเป็นสัญญาที่กําหนดระยะเวลาการจ้างไว้ แน่นอน โดยฉบับสุดท้ายครบกําหนดวันที่ 8 มกราคม ๒๕๖๑ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างแรงงาน ระหว่างโจทก์จําเลยและคําแปลสัญญาจ้างแรงงาน ล้วนมีข้อสัญญาที่กําหนดไว้ว่า “ระหว่างระยะเวลาทดลองงาน ๔ เดือน คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องแจ้งเหตุผลแต่ต้องแจ้งล่วงหน้า ๒ สัปดาห์” ข้อสัญญาในส่วนนี้ทําให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์จําเลย
เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา นอกจากนี้ ตามสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าว ข้อ ๒ ระบุว่า โจทก์ทํางานในตําแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและออกแบบการบริการ ทํางานประจําที่เซ็นทารา
โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ความว่า โจทก์มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแลการจัดการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ บริหารจัดการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ ออกแบบปฏิบัติงานกับผู้แทนกลุ่มตลาดรวมถึงเจ้าหน้าที่จัดลําดับชิ้นงานเพื่อให้มีความสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และบริการ
โดยต้องรายงานผลต่อรองประธานฝ่ายการตลาด จะเห็นได้ว่างานของโจทก์มีลักษณะเป็น
งานประจําของธุรกิจโรงแรมที่จําเป็นต้องมีการโฆษณาและออกแบบการบริการตามสื่อต่าง ๆ
เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้ามาใช้บริการโรงแรมของจําเลย อันถือได้ว่าจําเลยจ้างโจทก์ให้ทํางานเกี่ยวกับงานอันเป็นปกติของธุรกิจหรือการค้าของจําเลย จึงไม่ต้องพิจารณาต่อไปว่าการจ้างระหว่างโจทก์กับจําเลยเข้าหลักเกณฑ์ประการอื่นของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘
วรรคสามและวรรคสี่ หรือไม่ เมื่อจําเลยไม่ต่อสัญญาจ้างกับโจทก์อีกต่อไปถือเป็นการเลิกจ้าง
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจําเลยมีเหตุเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีหนึ่งกรณีใดตามมาตรา ๑๑๙ จําเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ การที่จําเลยทําสัญญาจ้างโจทก์ฉบับแรกตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ กําหนดระยะเวลาทํางานไว้ ๒ ปี และมีการต่อสัญญาทุก ๒ ปี
ฉบับสุดท้ายกําหนดระยะเวลาทํางานตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ 8 มกราคม ๒๕๖๑
อันเป็นการทํางานกับจําเลยติดต่อกันไปโดยไม่ขาดตอนเป็นระยะเวลาครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ ๑๐ ปี หาได้ขาดตอนจากกันดังที่จําเลยอุทธรณ์ไม่ 

         เงินโบนัสเป็นเงินที่จําเลยจ่ายให้กับลูกจ้างเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ ตอบแทนการทํางาน
ที่ผ่านมาและจูงใจให้ลูกจ้างทํางานให้นายจ้างต่อไป ไม่มีกฎหมายบังคับว่านายจ้างต้องจ่ายเสมอไป หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินโบนัสหรือสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับเงินโบนัสจึงต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างลูกจ้างและนายจ้างที่ให้ไว้แก่กัน เมื่อพิจารณาตามจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ ระบุว่า ผู้จัดการฝ่ายบุคคลแจ้งว่าจําเลยอนุมัติเงินโบนัส ๑.๔๕ เดือน ให้แก่พนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งทํางานมาตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยจะจ่ายให้ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในประกาศของจําเลย เรื่อง การจ่ายเงินรางวัล (โบนัส) ๒๕๖๐ ที่คณะกรรมการกําหนดค่าตอบแทนและสรรหาได้พิจารณาอนุมัติการจ่ายโบนัสให้แก่พนักงานที่มีสิทธิได้รับตามกฎเกณฑ์ที่บริษัทกําหนด และต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์และจําเลยอีกด้วย ซึ่งตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจําเลย ข้อ ๔ (ค) ระบุให้การพิจารณาผลงานและการให้เงินโบนัส นายจ้างจะพิจารณาทบทวนผลงานของลูกจ้างเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาการปรับเงินเดือนและเงินโบนัส ถ้ามี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายจ้างฝ่ายเดียว แสดงว่าการพิจารณาให้เงินโบนัสแก่ลูกจ้างของจําเลยนั้นอยู่ในดุลพินิจและการพิจารณาทบทวนผลงานของลูกจ้างแต่ละคน การที่จําเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงในวันที่
8 มกราคม ๒๕๖๑ ไม่มีการต่อสัญญาอีกต่อไปและยืนยันว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสของปี ๒๕๖๐ ถือเป็นการใช้ดุลพินิจและพิจารณาทบทวนผลงานของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานและประกาศของจําเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับโบนัสประจําปี ๒๕๖๐ 

         สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจําเลยฉบับสุดท้ายกําหนดระยะเวลาการจ้างไว้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ 8 มกราคม ๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๒๔ เดือน จึงเป็นการตกลงกันระหว่างโจทก์และจําเลยว่า จําเลยจะทํางานให้โจทก์ในกําหนดระยะเวลาดังกล่าว เป็นข้อตกลง
ที่ชัดแจ้งแล้วว่าจําเลยจ้างโจทก์ถึงวันที่ 8 มกราคม ๒๕๖๑ เป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อครบกําหนดเวลาดังกล่าวสัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า การที่จําเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 มกราคม ๒๕๖๑ ไม่มีการต่อสัญญา
อีกต่อไป ถือได้ว่าสัญญาจ้างเป็นอันสิ้นสุดลงตามที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า จึงไม่เป็นการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรม จําเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ 

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑,๒๒๒,๔๘๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรม ๑,๒๒๒,๔๘๐ บาท เงินโบนัส ๔๕๘,๔๓๐ บาท และค่าจ้างค้างจ่าย ๑๕๒,๘๑๐ บาท
รวม ๓,๐๕๒,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑,๒๒๒,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ ๑๕ ต่อปี จ่ายเงินโบนัส ๒๒๑,๕๗๔.๕๐ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๙๑๖,๘๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

         จำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า
เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและออกแบบการบริการ โดยเป็นสัญญาที่กำหนดระยะเวลาทำงานไว้ ๒ ปี และมีการต่อสัญญาทุก ๒ ปี ฉบับสุดท้ายกำหนดระยะเวลาทำงานตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ ค่าจ้างเดือนละ ๑๕๒,๘๑๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๘ ของเดือน วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ จำเลย
มีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ อ้างเหตุครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ และไม่มีการต่อสัญญาอีกต่อไป โจทก์ทำงานกับจำเลยถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยประกอบธุรกิจโรงแรม โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและออกแบบการบริการ มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแลการจัดการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ บริหารจัดการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ ออกแบบปฏิบัติงานกับผู้แทนกลุ่มตลาดรวมถึงเจ้าหน้าที่จัดลำดับชิ้นงานเพื่อให้มีความสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และบริการ โดยต้องรายงานผลต่อรองประธานฝ่ายการตลาด ถือว่า
เป็นงานอันเป็นธุรกิจปกติของจำเลย มิใช่งานในโครงการหรืองานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด หรือความสำเร็จของงาน หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลา
ของฤดูกาล จึงไม่เข้าลักษณะการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสามและวรรคสี่ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเหตุเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา ๑๑๙ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุว่าการจ้างสิ้นสุดตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามสัญญาจ้างข้อ ๖ (ฉ) ระบุข้อสัญญาทำนองจำกัดสิทธิมิให้จำเลยเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ เนื่องจากโจทก์เป็นชาวต่างชาติ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำสัญญาเอาเปรียบชาวต่างชาติ และใช้
ข้อสัญญานี้อ้างประกอบในการเลิกจ้าง ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรม และจำเลยอนุมัติเงินโบนัส ๑.๔๕ เดือนให้แก่พนักงานที่ทำงานตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยจ่ายให้วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ โจทก์ทำงานกับจำเลยช่วงเวลาดังกล่าว จึงชอบที่จะได้เงินโบนัส และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ส่วนค่าจ้างค้างชำระนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยจ่ายให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อ ๒.๑ และข้อ ๒.๒ ว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาที่กำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน โดยฉบับสุดท้ายครบกำหนดวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ ก็ตาม
แต่เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยและคำแปลสัญญาจ้างแรงงาน ล้วนมีข้อสัญญา
ที่กำหนดไว้ว่า “ระหว่างระยะเวลาทดลองงาน ๔ เดือน คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องแจ้งเหตุผลแต่ต้องแจ้งล่วงหน้า ๒ สัปดาห์” ข้อสัญญาในส่วนนี้ทำให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา นอกจากนี้ตามสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าว ข้อ ๒ ระบุว่า โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและออกแบบการบริการ ทำงานประจำที่เซ็นทารา โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ความว่า โจทก์มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแลการจัดการออกแบบ
เชิงสร้างสรรค์ บริหารจัดการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ ออกแบบปฏิบัติงานกับผู้แทน
กลุ่มตลาดรวมถึงเจ้าหน้าที่จัดลำดับชิ้นงานเพื่อให้มีความสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และบริการ โดยต้องรายงานผลต่อรองประธานฝ่ายการตลาด จะเห็นได้ว่างานของโจทก์มีลักษณะเป็นงานประจำของธุรกิจโรงแรมที่จำเป็นต้องมีการโฆษณาและออกแบบการบริการตามสื่อต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้ามาใช้บริการโรงแรมของจำเลย อันถือได้ว่าจำเลยจ้างโจทก์ให้ทำงานเกี่ยวกับงานอันเป็นปกติของธุรกิจหรือการค้าของจำเลย จึงไม่ต้องพิจารณาต่อไปว่าการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจะเข้าหลักเกณฑ์ประการอื่นของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสามและวรรคสี่หรือไม่ เมื่อจำเลย
ไม่ต่อสัญญาจ้างกับโจทก์อีกต่อไปถือเป็นการเลิกจ้าง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเหตุเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีหนึ่งกรณีใดตามมาตรา ๑๑๙ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามมาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง และการที่จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ฉบับแรกตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ กำหนดระยะเวลาทำงานไว้ ๒ ปี และมีการต่อสัญญาทุก ๒ ปี ฉบับสุดท้ายกำหนดระยะเวลาทำงานตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ อันเป็นการทำงานกับจำเลยติดต่อกันไป
โดยไม่ขาดตอนเป็นระยะเวลาครบ ๖ ปี แต่ไม่ครบ ๑๐ ปี หาได้ขาดตอนจากกันดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อ ๒.๓ ว่า จำเลยต้องจ่ายเงินโบนัสประจำปีแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ลูกจ้าง ตอบแทนการทำงานที่ผ่านมาและจูงใจให้ลูกจ้างทำงานให้นายจ้างต่อไป ไม่มีกฎหมายบังคับว่านายจ้างต้องจ่ายเสมอไป หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินโบนัสหรือสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับเงินโบนัส จึงต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างลูกจ้างและนายจ้างที่ให้ไว้แก่กัน เมื่อพิจารณาตามจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ ระบุว่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลแจ้งว่าจำเลยอนุมัติเงินโบนัส ๑.๔๕ เดือน ให้แก่พนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งทำงานมาตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยจะจ่ายให้ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในประกาศของจำเลย เรื่อง การจ่ายเงินรางวัล (โบนัส) ๒๕๖๐ ที่คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนและสรรหา ได้พิจารณาอนุมัติการจ่ายโบนัสให้แก่พนักงานที่มีสิทธิได้รับตามกฎเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด และต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่าง
โจทก์และจำเลยอีกด้วย ซึ่งตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลย ข้อ ๔ (ค) ระบุให้
การพิจารณาผลงานและการให้เงินโบนัส นายจ้างจะพิจารณาทบทวนผลงานของลูกจ้างเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาการปรับเงินเดือนรวมทั้งเงินโบนัส ถ้ามี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายจ้างฝ่ายเดียว
แสดงว่าการพิจารณาให้เงินโบนัสแก่ลูกจ้างของจำเลยนั้น ย่อมอยู่ในดุลพินิจและการพิจารณาทบทวนผลงานของลูกจ้างแต่ละคน การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ ไม่มีการต่อสัญญาอีกต่อไปและยืนยันว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสของปี ๒๕๖๐ ถือเป็น
การใช้ดุลพินิจและพิจารณาทบทวนผลงานของโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานและประกาศของจำเลย
เรื่อง การจ่ายเงินรางวัล (โบนัส) ๒๕๖๐ ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับโบนัสประจำปี ๒๕๖๐ ดังกล่าว ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปี ๒๕๖๐ แก่โจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อ ๒.๔ ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด เห็นว่า ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลยฉบับสุดท้าย ข้อ ๑ กำหนดระยะเวลาการจ้างไว้ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๒๔ เดือน จึงเป็นการตกลงกันระหว่างโจทก์และจำเลยว่า จำเลยจะทำงานให้โจทก์
ในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยจ้างโจทก์ถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ เป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับได้ไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวสัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง
โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงในวันที่
๘ มกราคม ๒๕๖๑ ไม่มีการต่อสัญญาอีกต่อไป ถือได้ว่าสัญญาจ้างเป็นอันสิ้นสุดลงตามที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอันจำเลยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุอันสมควร
เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

         พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยสำหรับเงินส่วนนี้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

(ปณิธาน  วิสุทธากร – วิโรจน์  ตุลาพันธุ์ – ไพรัช  โปร่งแสง)

พรรณทิพย์  วัฒนกิจการ – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ