คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2798/2562 นายอรรณพ  วงศ์วาด                      โจทก์

                                                                    บริษัทเดอะบีม 989 เมทัล กรุ๊ป จำกัด   จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 583

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5, 119

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49

          เมื่ออุทธรณ์ของจําเลยประการแรกต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงต้องยุติตามที่
ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า โจทก์มิได้ขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่ในวันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ แต่โจทก์มิได้ไปปฏิบัติงานวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงมิใช่การที่โจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทํางานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๕) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจึงชอบแล้ว เมื่อโจทก์ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเป็น
การที่โจทก์ละทิ้งการงานไปเสีย ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๘๓ ซึ่งจําเลยมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยมิ
จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นกรณีที่จําเลยเลิกจ้างโดยมีเหตุสมควรเพียงพอ จึงมิใช่การเลิก
จ้างไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔9 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จําเลยจ่ายเงินค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์เท่ากันทุกเดือน โดยไม่คํานึงว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจะใช้น้ำมันรถจักรยานยนต์หรือไม่ หรือใช้จ่ายไปจํานวนเท่าใด ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ที่ใช้
ในการปฏิบัติงาน ดังนั้น เงินค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ที่จําเลยจ่ายให้แก่โจทก์นั้น
จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทํางานตามสัญญาจ้าง จึงเป็นค่าจ้าง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ
.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ 

______________________________

         โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกล่าวล่วงหน้า ๒๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าชดเชย ๒๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่
๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ๒๙๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ ๑๑,๐๐๐ บาท ค่าการศึกษาบุตร ๓,๐๐๐ บาท และค่าสวัสดิการโบนัส ๙๑๗ บาท รวมเป็นเงินเดือน ๑๔,๙๑๗ บาท และในการทำงานของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานเก็บเช็คและวางบิลกับลูกค้าของจำเลย โจทก์จะได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษเหมาจ่าย
เป็นค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ในการทำงาน เมื่อปี ๒๕๖๐ โจทก์ลาป่วยหลายครั้ง             โดยใบรับรองแพทย์ระบุว่ามีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ หากให้โจทก์ทำงานในตำแหน่งเดิมต่อไปจะเกิดอันตรายต่อตัวโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานในตำแหน่ง            มือเครนในโกดังสินค้าซึ่งตั้งอยู่ที่แขวงดอกไม้ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร แต่โจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งไม่ไป
ทำงานที่โกดังสินค้าของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๒ ถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม อันเป็นการละทิ้งหน้าที่การงาน ขาดงานเกิน ๓ วันทำงานติดต่อกัน
โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๐,๔๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าชดเชย ๑๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ไม่เป็นธรรม ๒๕๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลาง
ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๖ ในตำแหน่งพนักงานเก็บเช็คและวางบิล กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑ ของเดือน ต่อมา วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันดังกล่าว ตามหนังสือเลิกจ้าง ระบุเหตุ            เลิกจ้างเพียงประการเดียวว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ ๓ วันทำงานติดต่อกันตั้งแต่วันที่ ๒๒ ถึงวันที่ ๒๓               และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ โดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากนี้ตามหนังสือที่แจ้งให้โจทก์ไปทำงานที่โกดังสินค้าของจำเลย ระบุให้โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์มิได้ขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ แม้โจทก์มิได้ไปปฏิบัติงานในวันที่ ๒๓
และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกัน          
ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามหนังสือเลิกจ้างไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำผิดหรือมีเหตุอื่นใดอันสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

         ที่จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน แม้จำเลยจะมีคำสั่งเป็นหนังสือย้ายโจทก์ไปทำงานที่โกดังสินค้า โดยให้เริ่มงานวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ แต่จำเลยแจ้งโจทก์ด้วยวาจาโดยมีเจตนาให้โจทก์ไปทำงานที่โกดังสินค้าของจำเลยทันทีตั้งแต่วันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์ไม่ไปทำงานตั้งแต่วันที่ ๒๒ ถึงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ และจำเลยได้บอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ทางไปรษณีย์ จึงเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่
เฉพาะหน้า เมื่อโจทก์ทราบในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๐ จึงมีผลทางกฎหมายวันที่๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์จึงขาดงานตั้งแต่วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นเวลา ๖ วันติดต่อกัน และโจทก์กระทำความผิดอาญาต่อจำเลยโดยเอาบัตรลงเวลาทำงานที่มิใช่ของตนมาใช้ตอกลงเวลาเป็นเท็จเพื่อแสดงให้เห็นว่าได้มาทำงาน อันเป็นการกระทำเพื่อจะนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยจากพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว
เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์
ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อมาว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการ
บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า                 เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยประการแรกต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงต้องยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟัง
มาว่า โจทก์มิได้ขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ แต่โจทก์มิได้ไปปฏิบัติงาน                วันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงมิใช่การที่โจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกัน
ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๕) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจาก
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น เมื่อโจทก์ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐             จึงเป็นการที่โจทก์ละทิ้งการงานไปเสีย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ ซึ่งจำเลย  
มีสิทธิเลิกจ้างได้โดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นกรณีที่จำเลยเลิกจ้างโดยมีเหตุสมควรเพียงพอ
จึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน            พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจาก
การเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อมาว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละเท่าใด จำเลยอุทธรณ์ว่า เดิมโจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานเก็บเช็คและวางบิลซึ่งจะได้รับเงินเดือนรวมกับค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ เมื่อจำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานในโกดังสินค้า            ซึ่งไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์ในการทำงานอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ค่าจ้างโจทก์จึงมีเพียง ๑๑,๐๐๐ บาท เท่านั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายเงินค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์เท่ากันทุกเดือน                 โดยไม่คำนึงว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจะใช้น้ำมันรถจักรยานยนต์หรือไม่ หรือใช้จ่ายไปจำนวนเท่าใด             ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานดังนั้น เงินค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์นั้นจึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทน            ในการทำงานตามสัญญาจ้าง จึงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นนี้มานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลย
ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

         ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า ผู้ที่ลงลายมือชื่อในหนังสือเลิกจ้างเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจ
ลงลายมือชื่อแทนจำเลยได้ หนังสือเลิกจ้างจึงไม่อาจถือเป็นการบอกเลิกสัญญาจ้างนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่นอกเหนือจากที่ปรากฏในคำให้การ อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย

 

 

 

         พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจาก
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง.

(ดาราวรรณ  ใจคำป้อ – สุชาติ  ตระกูลเกษมสุข – สาโรช  ทาสวัสดิ์)

ธัชวุทธิ์  พุทธิสมบัติ - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ