คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2795/2562 นายนพชัย สุขวิบูลย์ โจทก์
บริษัทเนชั่นไวด์ แอนด์ โกลบอล
คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 65 (9)
กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 6
เมื่องานที่โจทก์ทำเป็นงานขนส่งทางบกและจำเลยไม่ได้ตกลงจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ในอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหากโจทก์ได้ทำงานล่วงเวลา ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 65 (9) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 6 ซึ่งในการคำนวณจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาดังกล่าวต้องถือเกณฑ์คำนวณค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนเป็นค่าจ้างเฉลี่ยรายวันและรายชั่วโมง แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงมาคำนวณ
เป็นค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาเพียงใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่
ศาลแรงงานกลางได้รับฟังมาแล้วเพียงพอที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะวินิจฉัยปัญหานี้ได้
จึงเห็นสมควรที่จะวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อน โดยศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่า โจทก์ทำงานล่วงเวลา 2,321.55 ชั่วโมง ซึ่งพิเคราะห์แล้วปรากฏว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นไปตามเอกสารท้ายฟ้องหรือบัญชีค่าทำงานเกินเวลาที่โจทก์อ้างส่ง ย่อมฟังได้ว่า ในแต่ละวันโจทก์มีเวลาการทำงานและได้รับค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงในอัตราตามที่ระบุในบัญชีค่าทำงานเกินเวลา ในการคำนวณค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาจึงต้องถือชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาและอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงในเอกสารฉบับดังกล่าวเป็นเกณฑ์
เมื่อปรากฏว่าเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา มิใช่ค่าล่วงเวลา
ที่จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี ได้ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จึงเป็นหนี้เงินที่คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เท่านั้น
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าล่วงเวลา ๔๕๓,๗๑๔.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลา ๘๘,๕๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันและข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตำแหน่งสุดท้ายพนักงานขับรถยนต์ (รถยนต์ลีมูซีน) มีหน้าที่ให้บริการรับส่งลูกค้าของจำเลยไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายโดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ จำเลยไม่ได้ตกลงจ่าย
ค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า งานที่โจทก์ทำเป็นงานขนส่งทางบกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) แม้โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๖๕ (๙) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๖ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานหากโจทก์ได้ทำงานล่วงเวลา หาใช่ว่าเมื่อลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาแล้วจะถูกตัดสิทธิไม่ให้ได้รับค่าจ้างธรรมดาไปด้วยไม่ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่กำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้างในงานขนส่งทางบกวันหนึ่งไม่เกิน ๘ ชั่วโมง แม้ว่าลูกจ้างไม่ได้ขับรถยนต์ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการ แต่โจทก์มีหน้าที่ต้องทำงานตามที่จำเลยมอบหมาย โจทก์เริ่มต้นการทำงานขับรถเที่ยวแรกตอนเช้าของวันทำงาน และสิ้นสุด
การทำงานขับรถเที่ยวสุดท้ายในเช้าของอีกวันหนึ่ง โจทก์ต้องเริ่มขับรถก่อนจะถึงเวลานัดหมายเพื่อไปถึงที่หมายให้ทันเวลา และเมื่อส่งลูกค้าแล้วโจทก์ต้องขับรถกลับมายังสำนักงานของจำเลยเพื่อคืนกุญแจรถ หากจำเลยมีงานให้โจทก์ทำ โจทก์ก็ต้องออกไปขับรถอีก การทำงานของโจทก์จึงเป็นการทำงานต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง เมื่อโจทก์ทำงานเกินกว่าวันละ ๘ ชั่วโมง เป็นการทำงาน
เกินกำหนดเวลาทำงานปกติ และเป็นการทำงานล่วงเวลาวันละ ๑๖ ชั่วโมง ในแต่ละวันที่ทำงานเกินกว่าวันละ ๘ ชั่วโมง โจทก์ได้รับค่าจ้างต่อชั่วโมงทำงานเฉลี่ยชั่วโมงละ ๓๘.๑๒๕ บาท ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ฉบับที่ ๗ และที่ ๘ และตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่า
โจทก์ทำงานล่วงเวลา ๒,๓๒๑.๕๕ ชั่วโมง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาให้แก่โจทก์ ๘๘,๕๐๙ บาท
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาให้แก่โจทก์ระหว่าง
เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ครบแล้วทุกเที่ยว การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาแก่โจทก์อีกจึงขัดต่อกฎหมายเพราะทำให้จำเลยต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาซ้ำซ้อนนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยประกาศใช้ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันภายหลังที่โจทก์พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยแล้ว แต่ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
ของจำเลยดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่บริษัทจำเลยก่อตั้งแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน
การทำงานล่วงเวลาในอัตราหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมง
ที่ทำตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยแล้วว่า งานที่โจทก์ทำเป็นงานขนส่งทางบกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒
(พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และจำเลยไม่ได้ตกลง
จ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง
ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจ
ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปว่า ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาแก่โจทก์โดยพิจารณาจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายชอบหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยแล้วว่า งานที่โจทก์ทำเป็นงานขนส่งทางบกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำเลยไม่ได้ตกลงจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์ ดังนั้น หากโจทก์ได้ทำงานล่วงเวลา จำเลยย่อมมีหน้าที่
ต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติจากวันละ ๘ ชั่วโมง ให้แก่โจทก์ในอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๖๕ (๙) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๖ ซึ่งในการคำนวณจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาดังกล่าวต้องถือเกณฑ์คำนวณค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนเป็นค่าจ้างเฉลี่ยรายวันและรายชั่วโมง แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงมาคำนวณ
เป็นค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานโดยพิจารณาจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง
เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ฉบับที่ ๗ และที่ ๘ นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น สำหรับปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาเพียงใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางได้รับฟังมาแล้วเพียงพอที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะวินิจฉัยปัญหานี้ได้ จึงเห็นสมควรที่จะวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อน โดยศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า ตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่า โจทก์ทำงานล่วงเวลา ๒,๓๒๑.๕๕ ชั่วโมง ซึ่งพิเคราะห์แล้วปรากฏว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นไปตามเอกสารท้ายฟ้องหรือบัญชีค่าทำงานเกินเวลาที่โจทก์อ้างส่ง ย่อมฟังได้ว่าในแต่ละวันโจทก์มีเวลาการทำงานและได้รับค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงในอัตราตามที่ระบุในบัญชีค่าทำงานเกินเวลา ดังนั้น ในการคำนวณค่าตอบแทน
การทำงานล่วงเวลาต้องถือชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาและอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงในเอกสารฉบับดังกล่าวเป็นเกณฑ์ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา ๓๐๒,๓๗๔.๘๐ บาท
อนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นั้น เห็นว่า ในส่วนของดอกเบี้ยนั้นเมื่อปรากฏว่าเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา มิใช่ค่าล่วงเวลาที่จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ได้ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงเป็นหนี้เงินที่คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา ๓๐๒,๓๗๔.๘๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง.
(ดาราวรรณ ใจคำป้อ – สุชาติ ตระกูลเกษมสุข – สาโรช ทาสวัสดิ์)
กรรณิกา อัศวเมธา – ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ