คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2813 - 2816/2562 นางสมทรง ปุษปาคม
กับพวก โจทก์
สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริม
สวัสดิการและสวัสดิภาพครูและ
บุคลากรทางการศึกษา จำเลย
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา ๑๑๘
ระเบียบคุรุสภาว่าด้วยการจ่ายเงินบําเหน็จ เงินทําขวัญและเงินช่วยเหลือในการทําศพเจ้าหน้าที่คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๓ ข้อ ๕
เงินค่าชดเชยเป็นเงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕4๑ มาตรา ๑๑๘ ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่กําหนดมาตรฐานขั้นต่ำให้นายจ้างต้องปฏิบัติเพื่อคุ้มครองลูกจ้าง ส่วนเงินบําเหน็จ
ตามระเบียบคุรุสภาว่าด้วย การจ่ายเงินบําเหน็จ เงินทําขวัญและเงินช่วยเหลือในการทําศพเจ้าหน้าที่คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น เป็นเงินที่จําเลยในฐานะนายจ้างจ่ายให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
ของจําเลยในฐานะลูกจ้างที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เคยทํางานมาด้วยความเรียบร้อยเป็นเวลาต่อเนื่องกันให้แก่จําเลย เงินดังกล่าวมิได้มีการกําหนดไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕4๑ ซึ่งบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง จําเลยจึงสามารถกําหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินบําเหน็จอย่างไรก็ได้ เมื่อตามระเบียบดังกล่าว ข้อ ๕ กําหนดเงื่อนไขว่า เจ้าหน้าที่ผู้ใดมีสิทธิได้รับทั้งเงินชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยกําหนดเวลาทํางาน วันหยุดงาน ของลูกจ้าง การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้าง และการจัดให้มีสวัสดิการเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง (คือ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ในปัจจุบัน) อยู่แล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินบําเหน็จตามระเบียบนี้ แต่ถ้าเงินชดเชยนั้นมีจํานวนต่ำกว่าเงินบําเหน็จที่จะพึงได้รับตามระเบียบนี้เท่าใด ก็ให้จ่ายเงินบําเหน็จให้เท่ากับส่วนที่ต่ำกว่านั้น การที่จําเลยจ่ายเงินบําเหน็จให้แก่โจทก์ทั้งสี่แสดงให้เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้รับเงินบําเหน็จตามระเบียบดังกล่าวสูงกว่าค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕4๑ จึงต้องถือว่าเงินบําเหน็จตามระเบียบนี้มีเงินค่าชดเชยรวมอยู่ด้วย โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าชดเชยตามฟ้องจากจําเลยอีก
______________________________
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่เกิดสิทธิเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า องค์การค้าของ สกสค. เป็นหน่วยงานย่อยซึ่งอยู่ในกำกับดูแลของจำเลย โจทก์ทั้งสี่เคยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ขององค์การค้าของ สกสค. ซึ่งได้เกษียณอายุไปแล้ว แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่ได้รับเงินบำเหน็จและได้รับเงินบำเหน็จไปมากกว่าค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงถือได้ว่าเงินบำเหน็จตามระเบียบคุรุสภา ว่าด้วยการจ่ายเงินบำเหน็จ เงินทำขวัญและเงินช่วยเหลือในการทำศพเจ้าหน้าที่คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น รวมเงินค่าชดเชยอยู่ด้วย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เงินค่าชดเชยเป็นเงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำให้นายจ้างต้องปฏิบัติเพื่อคุ้มครองลูกจ้าง ส่วนเงินบำเหน็จ
ตามระเบียบคุรุสภา ว่าด้วยการจ่ายเงินบำเหน็จ เงินทำขวัญและเงินช่วยเหลือในการทำศพเจ้าหน้าที่คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น เป็นเงินที่จำเลยในฐานะนายจ้างจ่ายให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยในฐานะลูกจ้างที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เคยทำงานมาด้วยความเรียบร้อยเป็นเวลาต่อเนื่องกันให้แก่จำเลย เงินดังกล่าวมิได้มีการกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง จำเลยจึงสามารถกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินบำเหน็จอย่างไร
ก็ได้ เมื่อตามระเบียบคุรุสภา ว่าด้วยการจ่ายเงินบำเหน็จ เงินทำขวัญและเงินช่วยเหลือในการทำศพเจ้าหน้าที่คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๓ ข้อ ๕ กำหนด เงื่อนไขว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้ใดมีสิทธิได้รับ
ทั้งเงินชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยกำหนดเวลาทำงาน วันหยุดงานของลูกจ้าง
การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้าง และการจัดให้มีสวัสดิการเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง
(คือพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ในปัจจุบัน) อยู่แล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
ตามระเบียบนี้ แต่ถ้าเงินชดเชยนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จที่จะพึงได้รับตามระเบียบนี้เท่าใด
ก็ให้จ่ายเงินบำเหน็จให้เท่ากับส่วนที่ต่ำกว่านั้น การที่จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ทั้งสี่แสดงให้เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามระเบียบดังกล่าวสูงกว่าเงินค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เงินบำเหน็จที่โจทก์ทั้งสี่ได้รับไปครบถ้วนแล้วนั้นจึงมีส่วนหนึ่งเป็นเงินค่าชดเชยรวมอยู่ด้วย โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าชดเชยตามฟ้องจากจำเลยอีก ส่วนคำพิพากษา
ศาลฎีกาที่ ๑๐๓๔๑/๒๕๕๙ ที่โจทก์ทั้งสี่อ้างถึงนั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ฟ้องให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยเหมือนกัน แต่ประเด็นข้อพิพาทไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่มานั้น
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(ดำรงค์ ทรัพยผล – อนันต์ คงบริรักษ์ – วัฒนา สุขประดิษฐ์)
กิตติ เนตรประเสริฐชัย - ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ