คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 331/2560     นายธนัตถ์สิทธิ์  พณนันท์             โจทก์

                                                                        บริษัทธนาคารทหารไทย จำกัด

                                                                         (มหาชน) กับพวก                   จำเลย

 

ป.วิ.พ. 243 (3) (ข)

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57

 

          การกระทำผิดของลูกจ้างจะเป็นกรณีร้ายแรงหรือทุจริตหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงปัจจัยต่าง ๆ ประกอบหลายประการ เช่น ตำแหน่งหน้าที่ ลักษณะและพฤติการณ์การกระทำของลูกจ้าง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน คดีนี้โจทก์จะเกษียณอายุภายหลังเกิดเหตุประมาณ 4 เดือน กรณีจึงย่อมไม่มีผลต่อการปฏิบัติงานของโจทก์ว่าจะทำให้โจทก์ได้โบนัสหรือเงินเดือนเพิ่มขึ้น อีกทั้งตามข้อบังคับการทำงานก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดว่าการกระทำของโจทก์เป็นการผิดวินัยร้ายแรง การที่โจทก์ออกไปหาลูกค้าก็เป็นไปตามนโยบายและประเพณีปฏิบัติของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะออกเงินในการเปิดบัญชีให้ลูกค้าก่อนก็ไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งห้ามไว้ ทั้งปรากฏว่าบัญชีที่ลูกค้าเปิดไว้นั้นก็เป็นบัญชีที่แท้จริง และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์ การกระทำของโจทก์เป็นเพียงพฤติการณ์ที่ไม่ควรกระทำ หาเป็นการทุจริตหรือกระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงไม่

          ในส่วนของค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องร่วมกันจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3) (ข) ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 57

______________________________

 

          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 594,700 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 59,470 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 55,554.43 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม 138,123 บาท ค่าเสียหายจากการละเมิด 1,000,000 บาท และเงินสมทบและผลประโยชน์สมทบ 2,052,312.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้แก่โจทก์

          จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

            ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 55,554.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 กันยายน 2558) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3

          โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ในข้อ 2.1

            ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ในส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 55,554.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ดังนั้นค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ก่อนว่า คำสั่งศาลแรงงานกลางที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อ 2.1 ของโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า คำเบิกความของโจทก์บางส่วนเจือสมกับพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามว่า โจทก์ออกเงินส่วนตัวทดรองเปิดบัญชีเงินฝากให้แก่ลูกค้า 11 ราย ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลางฟังคำพยานจำเลยทั้งสามปากว่าการฝากและถอนเงินต้องเป็นเงินที่แท้จริงของลูกค้า จึงขัดกับพยานโจทก์ที่ยืนยันว่า การเปิดบัญชีเงินฝากโจทก์ไม่ทราบว่าหากโจทก์ออกเงินทดรองให้แก่ลูกค้าผู้เปิดบัญชีแล้วจำเลยที่ 1 จะอนุมัติให้เปิดบัญชีหรือไม่ และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ก็ไม่มีระบุไว้ในกรณีดังกล่าว ดังนั้น คำพยานดังกล่าวจึงคลาดเคลื่อนขัดต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ในส่วนนี้ของโจทก์จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

        คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่า การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตหรือผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากให้แก่ลูกค้า 11 ราย โดยโจทก์ออกเงินส่วนตัวทดรองเปิดบัญชีให้ การเปิดบัญชีเงินฝากลูกค้าต้องใช้เงินของลูกค้าเอง การถอนเงินต้องมอบฉันทะให้ผู้อื่นไปถอน จะมอบให้พนักงานของธนาคาร คือ โจทก์ถอนเงินจากธนาคารไม่ได้ และการที่โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับคะแนนจากการดำเนินการดังกล่าว คือ มีผลต่อการปฏิบัติงานประจำปีสำหรับการได้ค่าตอบแทนพิเศษหรือโบนัสและการพิจารณาขึ้นเงินเดือน อันทำให้จำเลยที่ 1 เสียประโยชน์นั้น เห็นว่า การกระทำผิดของลูกจ้างจะเป็นกรณีร้ายแรงหรือทุจริตหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกันหลายประการ เช่น ตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกจ้าง ลักษณะและพฤติการณ์การกระทำของลูกจ้าง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดไว้ว่าอย่างไรตลอดจนผลเสียหายที่เกิดจากการกระทำผิดว่ามีมากน้อยเพียงใด มีผลกระทบกับการประกอบธุรกิจของนายจ้างหรือไม่ อย่างไร การที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของโจทก์มีผลต่อการปฏิบัติงานประจำปีสำหรับการได้ค่าตอบแทนพิเศษหรือโบนัสและการพิจารณาขึ้นเงินเดือน แต่กลับได้ความจากข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันว่าโจทก์จะเกษียณหลังเกิดเหตุประมาณ 4 เดือน กรณีจึงย่อมไม่มีผลต่อการปฏิบัติงานของโจทก์ว่าจะทำให้โจทก์ได้โบนัสเพิ่มขึ้นหรือเงินเดือนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อีกทั้งตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า การกระทำของโจทก์เป็นการผิดวินัยร้ายแรง การที่โจทก์ออกไปหาลูกค้าก็เป็นไปตามนโยบายและประเพณีปฏิบัติของจำเลยที่ 1 ในการประกอบกิจการธนาคาร แม้โจทก์จะออกเงินให้ลูกค้าไปก่อนก็ไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 สั่งห้ามไว้ กลับปรากฏว่าลูกค้าที่เปิดบัญชีเป็นเจ้าของบัญชีที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นการสร้างบัญชีเท็จขึ้นมา และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์ พฤติการณ์ของโจทก์หาได้มีความประพฤติชั่ว โกง หรือไม่ซื่อตรง ตามความหมายของคำว่าทุจริตในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแต่อย่างใดไม่ ทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ได้ตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือ ปัจจุบันลูกค้าก็ยังคงใช้บัญชีดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงได้ประโยชน์จากการกระทำของโจทก์โดยยังคงทำธุรกรรมกับลูกค้าเรื่อยมา กรณีเช่นนี้จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตหรือผิดวินัยร้ายแรงหรือกระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 ในกรณีร้ายแรง เป็นแต่เพียงพฤติการณ์ที่โจทก์ไม่ควรกระทำเท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทุจริต จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีที่ร้ายแรงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ค่าเสียหายจากการละเมิด จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องร่วมกันจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์สมทบแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่อาจฟังข้อเท็จจริงได้เองแล้ว จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (3) (ข) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57

          พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการทุจริต จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายหรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีร้ายแรง และให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนอื่นนอกจากค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีโดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาว่า จำเลยทั้งสามต้องรับผิดจ่ายเงินส่วนอื่นนอกจากค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

 

(สัญชัย  ลิ่มไพบูลย์ - นำ  กรุยรุ่งโรจน์ - โกสินทร์  ฤทธิรงค์)

 

สุรพัศ  เพ็ชรคง - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ