คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 346/2560     นายพจน์  ศิริอัสสกุล                 โจทก์

                                                                        มิสซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพฯ      จำเลย

 

ป.พ.พ. มาตรา 575, 583

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5, 119

 

          การวินิจฉัยว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยมีลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ จะต้องพิจารณาจากพฤติการณ์และความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างโจทก์จำเลยในทุกด้าน แต่ศาลแรงงานกลางคงฟังข้อเท็จจริงเพียงจากข้อตกลงการใช้สถานที่เพื่อประกอบโรคศิลปะเป็นหลักในการวินิจฉัย โดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยประกอบด้วย ซึ่งการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวของศาลแรงงานกลางยังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ได้ เห็นควรให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำงานระหว่างโจทก์จำเลยเพิ่มเติม แล้ววินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่รับฟังใหม่อีกครั้ง

______________________________

 

            โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้าง 562,172 บาท และค่าชดเชย 4,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม 9,430,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ทั้งนี้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

          ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2535 ตามสัญญาว่าจ้างทำงาน ต่อมาวันที่ 1 มกราคม 2541 โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงการใช้สถานที่เพื่อประกอบโรคศิลปะซึ่งมีข้อความระบุว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เข้ามาใช้สถานที่และบริการด้านอื่น ๆ ของจำเลยในการเปิดคลินิกรักษาพยาบาลผู้ป่วย โจทก์เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระไม่มีฐานะเป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อโจทก์คิดค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยแล้วจำเลยรวบรวมจ่ายคืนให้เดือนละครั้ง โดยแบ่งให้โจทก์ร้อยละ 80 ส่วนจำเลยร้อยละ 20 ของค่ารักษาพยาบาล หลังจากนั้นวันที่ 1 มกราคม 2550 โจทก์และจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงทำนองเดียวกันอีก จำเลยไม่สามารถให้คุณให้โทษโจทก์ได้เนื่องจากข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจะใช้บังคับเฉพาะพนักงานของจำเลย ส่วนคู่มือปฏิบัติงาน (สำหรับแพทย์) เป็นกรณีที่โจทก์อยู่ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการแพทย์หรือองค์การแพทย์ของจำเลยเพื่อมุ่งเน้นการปฏิบัติงานของแพทย์ให้อยู่ในกรอบธรรมาภิบาลซึ่งมิใช่การบังคับบัญชานิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมาไม่ใช่การทำงานเพื่อรับค่าจ้างอันมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย

          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยหรือไม่และจำเลยต้องจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การวินิจฉัยว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยมีลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่จะต้องพิจารณาจากพฤติการณ์และความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างโจทก์จำเลยในทุกด้าน ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 นิยามคำว่า “นายจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และนิยามคำว่า “ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรอันมีความหมายเช่นเดียวกับความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 ซึ่งระบุลักษณะของสัญญาจ้างแรงงานว่า คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้างและนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ หมายความว่าลูกจ้างต้องตกลงทำงานให้นายจ้างโดยสมัครใจเพื่อแลกเปลี่ยนกับค่าจ้างที่นายจ้างเป็นผู้จ่ายให้เป็นการตอบแทนแก่แรงงานของลูกจ้างนั้น นอกจากนี้ยังต้องปรากฏด้วยว่าลูกจ้างอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของนายจ้างโดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบคำสั่งหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ด้วย แต่ศาลแรงงานกลางคงฟังข้อเท็จจริงเพียงจากข้อตกลงการใช้สถานที่เพื่อประกอบโรคศิลปะเป็นหลักในการวินิจฉัยโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยประกอบด้วยซึ่งการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวของศาลแรงงานกลางยังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ได้ เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงได้เอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 56 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 เห็นควรให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำงานระหว่างโจทก์และจำเลยเพิ่มเติมดังต่อไปนี้คือ 1. โครงสร้างการบริหารงานด้านบุคลากรแพทย์ในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์มีขั้นตอนและแบ่งอำนาจหน้าที่กันอย่างไร 2. ข้อบังคับหรือระเบียบว่าด้วยการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์เป็นอย่างไร 3. ขอบเขตหน้าที่การงานของโจทก์เป็นอย่างไรและมีใครเป็นผู้กำหนดหรือไม่ อย่างไร เช่น อำนาจในการตัดสินใจเลือกรับหรือไม่รับรักษาผู้ป่วยของโจทก์ หรืออำนาจในการเลือกสถานที่ปฏิบัติงานหรือห้องทำงานภายในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์เป็นของโจทก์หรือจำเลย 4. เวลาทำงานของโจทก์ที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์เป็นแบบใดและโจทก์ต้องปฏิบัติตามระเบียบเวลาการทำงานกับใครหรือไม่อย่างไร 5. การตรวจสอบการทำงานของแพทย์ที่เรียกว่า PEER REVIEW เป็นการตรวจสอบเรื่องใดและมีผลต่อการทำงานของแพทย์ทุกคนหรือไม่อย่างไร 6. ใครเป็นผู้มีอำนาจกำหนดอัตรากำลังแพทย์ในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ 7. รายได้ของโจทก์จากโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์มีวิธีคิดคำนวณจากฐานใดอย่างไรและมีการหักเงินส่งให้แก่สำนักงานประกันสังคมหรือไม่ ทั้งมีการคำนวณภาษีเงินได้เป็นแบบใดเพราะอะไร 8. มูลเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจากสัญญาว่าจ้างทำงาน มาเป็นข้อตกลงการใช้สถานที่เพื่อประกอบโรคศิลปะเพราะเหตุใด 9. มูลเหตุแห่งการทำข้อตกลงการใช้สถานที่เพื่อประกอบโรคศิลปะฉบับใหม่ เพราะเหตุใด 10. พฤติการณ์หรือความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างโจทก์และจำเลยภายหลังเปลี่ยนจากสัญญาว่าจ้างทำงานมาเป็นข้อตกลงในการใช้สถานที่เพื่อประกอบโรคศิลปะเป็นอย่างไร แล้ววินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่รับฟังใหม่ข้างต้น

          พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมดังกล่าวหากศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเป็นผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงก็ให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีใหม่ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 56 วรรคสอง และวรรคสาม.

 

(ธีระพล  ศรีอุดมขจร - อนุวัตร  ขุนทอง - กนกรดา  ไกรวิชญพงศ์)

 

สุรพัศ  เพ็ชรคง - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ