คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ นางสาว บ. โจทก์
ที่ วยช 49/2567 นาย ส. กับพวก จำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินพิพาทให้แก่บุตรทั้งสามของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ภายหลังจดทะเบียนหย่า โดยอ้างว่าทรัพย์สินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อันเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณา
ถึงเรื่องการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงที่ต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ 5 มาตรา 1532 คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัว
______________________________
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2558 จำเลยที่ 1 ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาท 1 แปลง และทาวน์เฮาส์
พร้อมที่ดินพิพาทอีก 1 แปลง ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ อันเป็นสินสมรสระหว่าง
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์และบุตรทั้งสาม โจทก์จดทะเบียนหย่ากับจำเลยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญายกที่ดินและทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินพิพาทดังกล่าวให้บุตรทั้งสาม
มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และมีข้อตกลงห้ามมิให้จำเลยที่ 1 นำบุคคลอื่นมาอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว
โดยโจทก์กับบุตรทั้งสามได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาด้วยการเข้าไปครอบครองทำประโยชน์
แต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา และจำเลยที่ 1 ยังนำจำเลยที่ 2 เข้าไปอยู่ในทาวน์เฮาส์พิพาท
โดยที่โจทก์กับบุตรทั้งสามไม่ให้ความยินยอม การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดต่อโจทก์
และบุตรทั้งสาม ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 27897 ตำบลเมืองบัว อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 2 งาน และทาวน์เฮ้าส์เลขที่ 104/60 หมู่ที่ 6
ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมที่ดินพิพาท เนื้อที่ 18 ตารางวา เป็นชื่อของบุตรทั้งสาม กับให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทาวน์เฮ้าส์พิพาท
ชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว แล้วเสนอปัญหาดังกล่าวให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑
วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า “คดีครอบครัว” หมายความว่า คดีแพ่งที่ฟ้องหรือร้องขอต่อศาลหรือกระทำการใด ๆ ในทางศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัว ซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ดังนั้น คดีที่เกี่ยวด้วยการสมรส สิทธิและหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา บิดามารดาและบุตรไม่ว่าในทางใด
ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ทั้งหมด คดีที่เกี่ยวด้วยสถานะ
และความสามารถของบุคคลเกี่ยวกับครอบครัวหรือส่วนได้เสียของผู้เยาว์ ซึ่งพิพาทกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพ ๑ มาตรา ๒๑ ถึง ๒๘, ๓๒, ๔๓ และ ๔๔ และในบรรพ ๖ มาตรา ๑๖๑๐, ๑๖๑๑, ๑๖๘๗ และ ๑๖๙๒ รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ย่อมถือเป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชน
และครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓) คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินพิพาทให้แก่บุตรทั้งสามของโจทก์
กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ภายหลังจดทะเบียนหย่า โดยอ้างว่าทรัพย์สินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อันเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาถึงเรื่องการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงที่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาตรา 1532 คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัว ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐ (๓)
วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๖ เดือน เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖7
ประกอบ ลีนะเปสนันท์
(นายประกอบ ลีนะเปสนันท์)
ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
จตุพร โค้วคาศัย - ย่อ
สัญชัย ภักดีบุตร - ตรวจ