คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 6444/2562 นางสาวหรือนางรัชดา ทองใหญ่ ณ อยุธยา

                                                                          หรือสัทธาพงษ์                               โจทก์

                                                                    บริษัทอสมท จำกัด (มหาชน)           จำเลย

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49

         จําเลยจ้างโจทก์มาทํางานในตําแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ เป็นการจ้าง
เข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูง ผลการประเมินการปฏิบัติงานของโจทก์อยู่ในระดับ
D (ต้องปรับปรุง) เป็นระดับต่ำสุด แสดงว่าผลการปฏิบัติงานของโจทก์อยู่ในระดับต่ำสุดตามเกณฑ์การพิจารณา แม้ในสัญญาจ้างข้อ ๑๐ ไม่ได้ให้คํานิยามหรือความหมายของคําว่า ไม่น่าพอใจ ไว้ก็ตาม แต่การที่เกณฑ์การพิจารณาผลการปฏิบัติงานมีเพียง ๕ ระดับ โดยระดับ D (ต้องปรับปรุง) เป็นระดับต่ำสุด ถือได้ว่าผลการปฏิบัติงานของโจทก์ประจําปี ๒๕๖๐ อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจ การที่จําเลยมีหนังสือแจ้งผลประเมินการปฏิบัติงานประจําปี ๒๕๖๐ โดยให้โอกาสโจทก์ปรับปรุงการดําเนินงานในความรับผิดชอบ และจะมีการประเมินผลอีกครั้งในรอบ 6 เดือน คือเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ก็เป็นเพียงการเตือน
เพื่อให้ทราบว่าการประเมินครั้งต่อไปคือเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ หากไม่ผ่านเกณฑ์อีกอาจมีการเลิกสัญญาจ้างได้ แต่การให้โอกาสดังกล่าวไม่ใช่การลงโทษทางวินัย จึงไม่เป็นการตัดสิทธิของจําเลย
ที่จะเลิกจ้างโจทก์ตามสัญญาจ้างข้อ ๑๐ วรรคสาม เมื่อการเลิกจ้างโจทก์ไม่ปรากฏว่าเป็นไป
โดยมีเจตนากลั่นแกล้ง จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามมาตรา ๔๙ แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ จําเลย
ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ 

______________________________

         โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๒๓,๔๓๔,๗๙๓.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
๑๕ ต่อปี นับถัดจากวันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์

         จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

         จำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า              เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่              สำนักการขาย เป็นเวลา ๔ ปี นับแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๙๕,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๙๕,๐๐๐ บาท ค่าชดเชย ๕๘๕,๐๐๐ บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๓๒,๕๐๐ บาท จากจำเลย และจำเลยออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์แล้ว แล้ววินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏในสัญญาจ้างว่าคู่สัญญาได้ให้นิยามคำว่า ไม่น่าพอใจ ไว้ว่าอย่างไร หรือจำเลยกำหนดเกณฑ์ว่าระดับ D (ต้องปรับปรุง) หมายถึง ไม่น่าพอใจ อันจะเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันที ทั้งแบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ ระดับสำนักขึ้นไปตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๒๓๔ ถึง ๒๓๖ ก็ไม่ได้ระบุว่าโจทก์ไม่ผ่านการประเมินหรือผลการประเมิน
การปฏิบัติงานไม่น่าพอใจ และเมื่อกรรมการผู้อำนวยการใหญ่จำเลยมีหนังสือแจ้งผลการประเมิน
การปฏิบัติงานให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ได้กำหนดเงื่อนไขว่า จะมีการประเมินผล
การปฏิบัติงานจำเลยอีกครั้งตามสัญญาจ้างประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ และหากผลการประเมิน
ในรอบ ๖ เดือน ยังต่ำกว่าระดับมาตรฐานอีกครั้ง ถือว่าการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจ
จำเลยอาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าการประเมินผลการปฏิบัติงานจำเลยในครั้งที่แจ้ง ยังไม่ถือว่าไม่น่าพอใจ และสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ จึงยังไม่อาจฟังได้ว่า โจทก์มีผล
การประเมินการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจตามเกณฑ์ที่จำเลยกำหนด และเมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนอื่น
ที่มีผลการประเมินการปฏิบัติงาน ระดับ D เช่นเดียวกับโจทก์ ไม่ได้ถูกเลิกจ้างไปด้วยตามที่นายกิตติพงษ์ ขันติรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ทรัพยากรมนุษย์ของจำเลยและโจทก์เบิกความและตามที่ปรากฏ
ตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๒๗๖, ๒๗๗, ๖๕๙ และ ๖๖๐ การได้รับผลการประเมินการปฏิบัติงาน
อยู่ในระดับ D (ต้องปรับปรุง) จึงไม่เป็นเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างตามสัญญาจ้าง ประกอบกับเมื่อพิจารณามติที่ประชุมคณะกรรมการจำเลย ครั้งที่ ๑๗/๒๕๕๙ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่อนุมัติการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ ในข้อ ๓.๓ คณะกรรมการจำเลยได้ให้ข้อเสนอแนะในการบริหารผลการปฏิบัติงาน โดยให้ฝ่ายบริหารกำหนดขั้นตอนรายละเอียดต่าง ๆ ในการดำเนินการกับกลุ่มพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่ามาตรฐานให้สอดคล้องกับระเบียบจำเลยว่าด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๙๖ ตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๓๑๔
และให้มีความชัดเจนเพื่อใช้สำหรับการดำเนินการและการสื่อสารพนักงานต่อไปตามเอกสารหมาย ล.๑  หน้า ๒๒๓ แต่ไม่ปรากฏว่าฝ่ายบริหารจำเลยได้กำหนดขั้นตอนรายละเอียดดังกล่าว การเลิกจ้างโจทก์
จึงยังไม่ผ่านขั้นตอนอย่างถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนที่โจทก์ไม่เสนอแผนการดำเนินงานตามสัญญาจ้าง ข้อ ๑๘.๕ เอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๑๗๓ นั้น บันทึกข้อความที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่แจ้งผลประเมินการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ ระบุให้จำเลยปรับปรุงในข้อ ๕ นำเสนอแผนงานการขายที่เป็นรูปธรรม ให้รายงานผลภายในสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ตามเอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๒๓๘ การส่งแผน
การดำเนินงานจึงยังไม่ถึงกำหนดเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ การที่จำเลยเลิกสัญญาจ้างโจทก์เป็นการผิดข้อตกลงตามสัญญา จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙                        เมื่อพิจารณาถึงอายุของโจทก์ ระยะเวลาการทำงานของโจทก์ ความเดือดร้อนของโจทก์เมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับประกอบกันแล้ว เห็นควรกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้โจทก์ ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี                 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง นับแต่วันฟ้อง จำเลยจ่ายค่าส่วนแบ่งนายหน้าหรือค่าคอมมิสชันหรือรางวัลนำเข้าให้แก่โจทก์ครบตามเงื่อนไขการจ่ายและถึงกำหนดชำระจนถึงวันฟ้องครบถ้วนแล้ว จึงไม่ต้องชำระค่าส่วนแบ่งนายหน้าหรือค่าคอมมิสชันหรือรางวัลนำเข้า
ให้แก่โจทก์ ส่วนค่าจ้างที่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ๒ ปี และค่าเสียโอกาสที่จะได้รับค่าคอมมิสชัน
เป็นเวลา ๒ ปี เป็นการเรียกร้องภายหลังโจทก์ถูกเลิกจ้างไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม มิใช่เป็นค่าเสียหายในอนาคตที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องอีก จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างที่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ๒ ปี และไม่ต้องชำระค่าเสียโอกาสที่จะได้รับค่าคอมมิสชัน เป็นเวลา ๒ ปี ให้แก่โจทก์

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์มีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่ เห็นว่า จำเลยจ้างโจทก์ตามสัญญาจ้างลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการขาย ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๑๖๕ ถึง ๑๗๘ เป็นการจ้าง
เข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูง คุณสมบัติและความสามารถในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ความรับผิดชอบของพนักงานที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ ๓ จึงเป็นสิ่งสำคัญ และการประเมินผลการปฏิบัติงานก็มีกำหนดไว้เป็นการเฉพาะสำหรับตำแหน่งของโจทก์ตามข้อ ๑๐ ระบุว่า หากผลการประเมิน
การปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจตามเกณฑ์ที่จำเลยกำหนด จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้าง
ได้ทันที โดยผลการประเมินการปฏิบัติงานของโจทก์ประจำปี ๒๕๖๐ ตามแบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ ระดับสำนักขึ้นไปเอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๒๓๔ อยู่ในระดับ D (ต้องปรับปรุง) ซึ่งในแบบประเมินผลดังกล่าวจัดเกณฑ์การพิจารณาผลการปฏิบัติงานไว้ ๕ ระดับ โดยระดับ D (ต้องปรับปรุง) เป็นระดับต่ำสุด แสดงว่า ผลการปฏิบัติงานของโจทก์อยู่ในระดับต่ำสุดตามเกณฑ์การพิจารณา
ในแบบประเมินผลดังกล่าว แม้ในสัญญาจ้างข้อ ๑๐ ไม่ได้ให้คำนิยามหรือความหมายของคำว่า
ไม่น่าพอใจ ไว้ก็ตาม แต่การที่เกณฑ์การพิจารณาผลการปฏิบัติงานมีเพียง ๕ ระดับ โดยระดับ D              (ต้องปรับปรุง) เป็นระดับต่ำสุดแล้ว ถือได้ว่า ผลการปฏิบัติงานของโจทก์ประจำปี ๒๕๖๐ อยู่ในเกณฑ์
ที่ไม่น่าพอใจตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างข้อ ๑๐ แล้ว การที่จำเลยจ้างโจทก์เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ได้รับค่าจ้างในอัตราที่สูง มีสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามระเบียบของจำเลยที่
ให้แก่พนักงานของจำเลย ทั้งยังมีรางวัลนำเข้าหรือค่าคอมมิสชันตามระเบียบจำเลยว่าด้วยรางวัลนำเข้า พ.ศ. ๒๕๕๘ กรณีเช่นนี้ ความสามารถในการบริหารให้เป็นไปตามแผนงานจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์เพื่อให้กิจการของจำเลยดำเนินไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยประกอบกิจการสื่อสารมวลชนและดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับกิจการสื่อสารมวลชน ซึ่งปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างสูง การที่โจทก์ไม่สามารถทำรายได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ และผลการปฏิบัติงานของโจทก์
ประจำปี ๒๕๖๐ อยู่ในระดับ D (ต้องปรับปรุง) เป็นการไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม
ขาดสมรรถภาพที่จะทำงานและรับผิดชอบในตำแหน่งที่ได้รับการว่าจ้าง แม้ตามหนังสือแจ้งผลประเมินการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ เอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๒๓๘ จะให้โอกาสโจทก์ปรับปรุงการดำเนินงานในความรับผิดชอบและจะมีการประเมินผลอีกครั้งในรอบ ๖ เดือนถัดไป คือเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑
ก็เป็นเพียงการเตือนเพื่อให้ทราบว่าการประเมินครั้งต่อไปคือเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ หากไม่ผ่านเกณฑ์อีกอาจมีการเลิกสัญญาจ้างได้ ซึ่งเป็นไปตามสัญญาจ้างข้อ ๑๐ ที่ระบุว่า ให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง แต่การให้โอกาสโจทก์ปรับปรุงการดำเนินงานในความรับผิดชอบตามหนังสือแจ้งผลประเมินการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ เอกสารหมาย ล.๑ หน้า ๒๓๘ ดังกล่าว
ไม่ใช่การลงโทษทางวินัย จึงไม่เป็นการตัดสิทธิของจำเลยที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ตามสัญญาจ้างข้อ ๑๐ วรรคสาม กับได้ความจากโจทก์เบิกความตอบศาลถามและหนังสือแจ้งจากนายกิตติพงษ์ ขันติรัตน์
ตามคำแถลงของทนายจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตรงกันรับฟังเป็นยุติว่า ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่มีโจทก์เพียงคนเดียวที่มีสัญญาจ้างพิเศษ ดังนั้น จึงไม่สามารถจะนำกรณีของโจทก์ไปเปรียบเทียบกับพนักงานในตำแหน่งอื่นได้ ส่วนมติ
ที่ประชุมคณะกรรมการจำเลย ครั้งที่ ๑๗/๒๕๕๙ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ข้อ ๓.๓ เป็นกรณีที่ใช้สำหรับพนักงานทั่วไป แต่สำหรับโจทก์เข้ามาด้วยสัญญาจ้างเฉพาะราย มีข้อตกลงกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ย่อมต้องถือตามสัญญาจ้างที่ทำไว้ เมื่อผลการประเมินถือได้ว่าอยู่ในระดับไม่น่าพอใจ จึงไม่จำต้องมีขั้นตอนอื่นใดอีกที่ต้องดำเนินการก่อนการเลิกจ้าง การเลิกจ้างโจทก์ไม่ปรากฏว่าเป็นไปโดยมีเจตนากลั่นแกล้ง จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ จำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ และเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยชอบแล้ว จึงไม่ต้องชำระค่าจ้างที่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ๒ ปี และไม่ต้องชำระค่าเสียโอกาสที่จะได้รับค่าคอมมิสชัน เป็นเวลา ๒ ปี ให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างที่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ๒ ปี และไม่ต้องชำระค่าเสียโอกาสที่จะได้รับค่าคอมมิสชันเป็นเวลา ๒ ปี ให้แก่โจทก์ นั้น ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยในผล แต่ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น

         พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

(วิโรจน์ ตุลาพันธุ์ – ปณิธาน วิสุทธากร – ไพรัช โปร่งแสง)

อิศเรศ ปราโมช ณ อยุธยา - ย่อ

สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ