คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 6436 – 6442/2562 นายกําเหนิด มรกต
กับพวก โจทก์
บริษัทเจวีซีเคนวูด
อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)
จํากัด จําเลย
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๑
แม้โจทก์ทั้งเจ็ดจะมิได้กล่าวอ้างเรื่องข้อตกลงในตอนท้ายของหนังสือเลิกจ้างมาในคําฟ้อง
ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีย่อมเกิดจากคําฟ้องและคําให้การเป็นสําคัญ มิได้เกิดแต่คําฟ้องเพียง
อย่างเดียว เมื่อคําฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดอ้างว่าจําเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดโดยไม่ได้กระทําผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจําเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งเจ็ดพร้อมดอกเบี้ย และจําเลยให้การต่อสู้ว่าจําเลยมีเหตุเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดเนื่องจากจําเลยประสบภาวะขาดทุน จําเป็นต้องลดจํานวนพนักงานลง มิได้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้
โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่อรับทราบการเลิกจ้างและตกลงยินยอมที่จะไม่เรียกร้องผลประโยชน์อื่นใดจากจําเลยอีก มีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ทําให้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมของโจทก์ทั้งเจ็ดระงับสิ้นไป โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอํานาจฟ้อง ดังนี้ คดีจึงมีประเด็น
ข้อพิพาทต้องวินิจฉัยว่า จําเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่
และข้อความตอนท้ายในหนังสือเลิกจ้างที่โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่อไว้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยว่า จําเลยเรียกโจทก์ทั้งเจ็ดมาพบ
และบอกเลิกจ้างในทันทีพร้อมกับนําหนังสือเลิกจ้างมาให้โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่ออ้างว่าเป็นการรับเงินที่มีสิทธิได้รับตามกฎหมาย โดยไม่ให้โจทก์ทั้งเจ็ดดูข้อความในตอนท้าย จึงรับฟังได้ว่า
โจทก์ทั้งเจ็ดมิได้มีเจตนาตกลงทําสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะไม่เรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์อื่นใดจากจําเลย ข้อตกลงตอนท้ายหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีผลบังคับโจทก์ทั้งเจ็ด จึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นแห่งคดี
ที่ศาลแรงงานภาค ๑ กําหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง หาใช่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจาก
ที่ปรากฏในคําฟ้องดังที่จําเลยอุทธรณ์ไม่
______________________________
โจทก์ทั้งเจ็ดสำนวนฟ้องโดยโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ แก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๖๖๘,๐๕๒ บาท โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๗๒๙,๘๔๘ บาท โจทก์ที่ ๓ จำนวน ๘๑๓,๑๘๖ บาท โจทก์ที่ ๔ จำนวน ๕๒๒,๘๔๐ บาท โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๖ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๗ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งเจ็ดสำนวนให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๑ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๑๗๘,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๒๘๕,๘๐๐ บาท โจทก์ที่ ๓ จำนวน ๒๒๕,๘๐๐ บาท โจทก์ที่ ๔ จำนวน ๑๖๓,๓๐๐ บาท
โจทก์ที่ ๕ จำนวน ๓๖๔,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๖ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๗ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเจ็ด
จำเลยทั้งเจ็ดสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงว่า
โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นลูกจ้างจำเลย เข้าทำงานกับจำเลยโดยมีตำแหน่งและอัตราเงินเดือนสุดท้ายตามคำฟ้อง
เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ด โดยอ้างเหตุผลว่าจำเลยมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง ต้องลดจำนวนพนักงานที่มีตำแหน่งงานเกินความจำเป็นลง โดยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินช่วยเหลือพิเศษให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดครบถ้วน แล้ววินิจฉัยว่า การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยอ้างว่านายจ้างตกอยู่ในภาวะขาดทุนนั้น ต้องถึงขนาดหากจ้างลูกจ้างและดำเนินกิจการต่อไปนายจ้างจะอยู่ในสภาวะขาดทุนและไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องคัดคนออกเพื่อลดต้นทุนให้เหมาะสมกับงานแล้วทำให้นายจ้างสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่จำเลยมีผลประกอบการขาดทุนเพียงบางปี น้อยกว่าผลกำไรที่ได้รับในปีก่อน ๆ และมีสถานะการเงินคล่องตัว ไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะขาดทุนถึงขนาดจำเป็นต้องเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ด จึงเป็น
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่อในหนังสือเลิกจ้าง เพราะหลงเชื่อว่าเป็นการรับเงิน
ที่มีสิทธิได้รับตามกฎหมาย โดยจำเลยปิดบังไม่ให้โจทก์ทั้งเจ็ดดูข้อความตอนท้ายที่ระบุว่าไม่ติดใจเรียกร้องผลประโยชน์อื่นใดจากจำเลยอีกก่อนลงลายมือชื่อ โจทก์ทั้งเจ็ดมิได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย ข้อตกลงท้ายหนังสือเลิกจ้างจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอม
ยอมความ โจทก์ทั้งเจ็ดมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้ จึงกำหนดให้จำเลย
รับผิดชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งเจ็ด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงประการเดียวว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานภาค ๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อความตอนท้ายของหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า
แม้โจทก์ทั้งเจ็ดจะมิได้กล่าวอ้างเรื่องข้อตกลงในตอนท้ายของหนังสือเลิกจ้างมาในคำฟ้องก็ตาม
แต่ประเด็นแห่งคดีย่อมเกิดจากคำฟ้องและคำให้การเป็นสำคัญ มิได้เกิดแต่คำฟ้องเพียงอย่างเดียว
เมื่อคำฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดโดยไม่ได้กระทำผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งเจ็ดพร้อมดอกเบี้ย
และจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีเหตุเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดเนื่องจากจำเลยประสบภาวะขาดทุน จำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง มิได้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่อรับทราบการเลิกจ้างและตกลงยินยอมที่จะไม่เรียกร้องผลประโยชน์อื่นใดจากจำเลยอีก มีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมของโจทก์ทั้งเจ็ดระงับสิ้นไป โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และข้อความตอนท้ายในหนังสือเลิกจ้างที่โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่อไว้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยว่า จำเลยเรียกโจทก์ทั้งเจ็ดมาพบและบอกเลิกจ้างในทันทีพร้อมกับนำหนังสือเลิกจ้างมาให้โจทก์ทั้งเจ็ดลงลายมือชื่ออ้างว่าเป็นการรับเงินที่มีสิทธิได้รับตามกฎหมาย โดยไม่ให้โจทก์ทั้งเจ็ดดูข้อความในตอนท้าย
จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมิได้มีเจตนาตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะไม่เรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์อื่นใดจากจำเลย ข้อตกลงตอนท้ายหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอม
ยอมความ ไม่มีผลบังคับโจทก์ทั้งเจ็ด จึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นแห่งคดีที่ศาลแรงงานภาค ๑ กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง หาใช่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ คำวินิจฉัยของศาลแรงงานภาค ๑ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(โสภณ พรหมสุวรรณ – พิเชฏฐ์ รื่นเจริญ – ศราวุธ ภาณุธรรมชัย)
ธัชวุทธิ์ พุทธิสมบัติ – ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ