คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1549/2567 ธนาคาร ท.                               โจทก์

                                                                      นาย พ. กับพวก                        จำเลย

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14

ป.วิ.พ. มาตรา 345

         พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะถึงเรื่องการขอคืนเงินค้างจ่าย
จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 345 มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 คดีนี้ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางยังมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่ามีเงินวางประกันค่าใช้จ่ายคงเหลืออยู่ที่ศาลและโจทก์มีสิทธิรับเงินดังกล่าว เงินดังกล่าวจึงมิใช่เงินค้างจ่ายซึ่งจะตกเป็นของแผ่นดินตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อโจทก์เพิ่งทราบว่ามีเงินคงเหลือและมีสิทธิรับเงินดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงยื่นคำขอรับเงินดังกล่าวคืนจากศาล กรณีจึงยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลา 5 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิรับเงินคงเหลือคืนได้ เงินดังกล่าวย่อมไม่ตกเป็นของแผ่นดิน

         คดีนี้โจทก์ร้องขอเงินของโจทก์ที่วางประกันค่าใช้จ่ายซึ่งคงเหลืออยู่ที่ศาล จึงเป็นคดีที่มี
คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์
เพียง 200 บาท แต่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มา 500 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์

______________________________

 

         โจทก์ยื่นคำร้อง ประสงค์ขอรับเงินวางประกันค่าใช้จ่ายที่เหลือคืนจากศาล โดยโจทก์ยังไม่เคย
ได้รับหมายแจ้งจากศาลให้ไปรับเงินคืน เงินดังกล่าวมิใช่เงินค้างจ่ายซึ่งจะตกเป็นของแผ่นดิน

         ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งว่า มีเงินประกันค่าใช้จ่ายค้างอยู่และผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาภายใน ๕ ปี จึงตกเป็นของแผ่นดิน ยกคำร้อง

         โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า คดีนี้ศาลล้มละลายกลางพิจารณามีคำสั่งอนุญาตให้ปิดคดีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๕ โดยมีเงินประกันค่าใช้จ่ายที่โจทก์วางไว้เหลือจำนวน ๓,๙๒๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เจ้าหน้าที่ศาลล้มละลายกลางตรวจสำนวนแล้วรายงานศาลล้มละลายกลางว่า มีเงินประกันค่าใช้จ่ายค้างอยู่และโจทก์ไม่ได้มาเรียกเอาภายใน ๕ ปี จึงตกเป็นของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๔๕ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้นำเงินดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดิน

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลล้มละลายกลางต้องคืนเงินที่โจทก์วางประกันค่าใช้จ่ายที่เหลือให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะถึงเรื่องการขอคืนเงินค้างจ่าย จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 3๔๕ บัญญัติว่า “บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่าย
อยู่ในศาลหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาภายในห้าปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน” สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางยังมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่ามีเงินวางประกันค่าใช้จ่ายคงเหลืออยู่
ที่ศาลและโจทก์มีสิทธิรับเงินดังกล่าว เงินดังกล่าวจึงมิใช่เงินค้างจ่ายซึ่งจะตกเป็นของแผ่นดิน
ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น เมื่อโจทก์เพิ่งทราบว่ามีเงินคงเหลือและมีสิทธิรับเงินดังกล่าวแล้ว
โจทก์จึงยื่นคำขอรับเงินดังกล่าวคืนจากศาล กรณีจึงยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลา 5 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิรับเงินคงเหลือคืนได้เงินดังกล่าวย่อมไม่ตกเป็นของแผ่นดิน ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

         อนึ่ง คดีนี้โจทก์ร้องขอเงินของโจทก์ที่วางประกันค่าใช้จ่ายซึ่งคงเหลืออยู่ที่ศาล จึงเป็นคดี
ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง
๒๐๐ บาท แต่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มา ๕๐๐ บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์

         พิพากษากลับ ให้ศาลล้มละลายกลางจ่ายเงินวางประกันค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือคืนแก่โจทก์
และคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่โจทก์เสียเกินมา ๓๐๐ บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่น
ในชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.

(ฐานิต ศิริจันทร์สว่าง – สมจิตร์ ปอพิมาย – นพร เพชรคุณ)

สรายุทธ์ เตชะวุฒิพันธุ์ - ย่อ

                               ปวีณา แสงสว่าง - ตรวจ