คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๒๓/๒๕๖๒         นางสาวธัญลักษณ์  สะสม          โจทก์

สหกรณ์การเกษตรเวียงสา จำกัด จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐, ๒๔๑

ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงาน หรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๕, ข้อ ๙, ข้อ ๑๒

           เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลงโดยโจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้าง
ของจำเลยตั้งแต่วันที่โจทก์ครบกำหนดเกษียณอายุในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจใช้สิทธิเพิกถอนการสิ้นสุดของสัญญาจ้างด้วยเหตุเกษียณอายุได้ ทั้งยังไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบหรือข้อบังคับให้สิทธิจำเลยที่จะเลิกจ้างลูกจ้าง
โดยให้มีผลย้อนหลังได้ ฉะนั้น แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะตรวจสอบพบว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงตามระเบียบจำเลย ว่าด้วย วินัย การสอบสวนและการลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ฯ
พ.ศ.๒๕๔๖ จำเลยก็จะยกอ้างเหตุดังกล่าวมาเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์อีกครั้งหาได้ไม่ เพราะความสัมพันธ์กันในฐานะนายจ้างและลูกจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยได้สิ้นสุดไปก่อนหน้าแล้ว การที่จำเลยมีคำสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๙ ไล่โจทก์ออก โดยให้มีผลย้อนไปตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ จึงหามีผลตามกฎหมายไม่ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินบำเหน็จนั้นไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ จึงย่อมต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับที่จำเลยกำหนดไว้ ซึ่งตามระเบียบจำเลย
ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดเรื่องการจ่ายเงินบำเหน็จไว้
ในหมวดที่ ๙ ข้อ ๓๔ ว่า เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์คนใด ทำงานในสหกรณ์นี้ด้วยความเรียบร้อย
เป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเมื่ออกจากตำแหน่ง เว้นแต่
การออกเพราะถูกลงโทษ ไล่ออกหรือเลิกจ้างและมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยแล้ว โดยมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินบำเหน็จของจำเลยเพื่อตอบแทนลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไปโดยต้องทำงานด้วยความเรียบร้อยด้วย แม้โจทก์จะทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปีก็ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการได้ร่วมจัดทำเอกสารใบเบิกเงิน ใบรับสินค้าและใบเสร็จรับเงินขายสินค้า เพื่อปรับปรุงบัญชีโดยไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการทำผิดวินัยร้ายแรงตามระเบียบจำเลย ว่าด้วย วินัย การสอบสวนและการลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ฯ พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๗ (๕) และ (๘) และแม้ว่าโจทก์จะพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างไปด้วยเหตุเกษียณอายุก่อนที่จำเลยจะมีคำสั่งไล่โจทก์ออก เนื่องจากกระทำผิดดังกล่าวก็ตาม แต่พฤติกรรมของโจทก์ที่กระทำการดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ทำงานด้วยความเรียบร้อยอันจะทำให้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามระเบียบของจำเลยดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ

           แม้โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๖๐๔ ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา
จังหวัดน่าน เพื่อเป็นหลักประกันการทำงานของโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงาน
หรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใช้บังคับวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ก็ตาม แต่ประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเรียกหรือรับหลักประการการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๕ หลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานมีสามประเภทได้แก่ (๑) เงินสด (๒) ทรัพย์สิน (๓) การค้ำประกันด้วยบุคคล ข้อ ๙ ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันเป็นทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่เรียกหรือรับเป็นหลักประกันได้ ได้แก่ทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ (๑) สมุดเงินฝากประจำธนาคาร (๒) หนังสือค้ำประกันของธนาคาร และข้อ ๑๒ ในกรณีที่นายจ้างได้เรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างเป็นทรัพย์สินหรือให้บุคคลค้ำประกัน ซึ่งลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามข้อ ๔ แต่มิใช่ทรัพย์สินตามข้อ ๙ หรือมีจำนวนมูลค่าของหลักประกันเกินจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ อยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้นายจ้างดำเนินการให้มีหลักประกัน ไม่เกินจำนวนมูลค่าของหลักประกันตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ แสดงให้เห็นว่าเมื่อประกาศฉบับดังกล่าว
มีผลใช้บังคับแล้ว และโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยจัดการสหกรณ์ ซึ่งเป็นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามข้อ ๔ แต่ทรัพย์สินที่โจทก์นำมาเป็นหลักประกันไม่ใช่ทรัพย์สินตามข้อ ๙ จำเลยจึงต้องดำเนินการเปลี่ยนหลักประกันให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้างต้น เนื่องจากประกาศฉบับนี้ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วย
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากมีการดำเนินการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว
การนั้นย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ภายหลังจากที่ประกาศ
ใช้บังคับ จำเลยไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนหลักประกันจากที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวไปเป็นหลักประกันตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๙ จึงเท่ากับว่าจำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว ดังนั้น ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่นายจ้างจะเรียก
หรือรับเป็นหลักประกันการทำงานได้อีกต่อไป จำเลยจึงต้องคืนทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน
การทำงานแก่โจทก์

           โจทก์และจำเลยตกลงยินยอมให้จำเลยหักเงินเดือนอัตราร้อยละ ๕ ทุกเดือน เพื่อเก็บเป็นเงินสะสม และจะคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากตำแหน่ง ดังนั้น เงินสะสมดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องคืนเงินสะสมแก่โจทก์ แม้จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและจำเลยมอบหมายให้พนักงานอัยการจังหวัดน่านดำเนินคดีในส่วนแพ่งแก่โจทก์แล้ว
ก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวไม่ถือว่ามีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้น
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๔๑ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงเงินสะสมของโจทก์ได้

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินสะสมและเงินบำเหน็จรวม ๒,๔๐๙,๗๓๖.๙๓ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้คืนหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๖๐๔ ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน พร้อมจดทะเบียนปลดจำนองให้โจทก์ด้วย

         จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยจ่ายคืนเงินสะสม ๖๕๕,๘๘๖.๙๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แก่โจทก์ กับให้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๖๐๔ ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน คืนโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา นอกจากนี้ให้ยก

         โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๒๔ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๖๐๔ ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นหลักประกันในการทำงาน ระหว่างทำงานจำเลยหักเงินเดือนโจทก์อัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือน ไว้เป็นเงินสะสม คำนวณถึงวันออกจากงานเป็นเงิน ๖๕๕,๘๘๖.๙๓ บาท โจทก์ทำงานถึงวันครบเกษียณอายุวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ต่อมาคณะกรรมการดำเนินการ (ชั่วคราว) จำเลย มีคำสั่งที่
๑๔/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ลงโทษไล่โจทก์ออก เนื่องจากทำผิดวินัยร้ายแรงตามระเบียบจำเลย ว่าด้วย วินัย การสอบสวน และการลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๕ (๖) (๗) ข้อ ๖ (๑) ข้อ (๕) (๘) (ที่ถูกข้อ ๗ (๕) (๘)) ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ แล้ววินิจฉัยว่า มีการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับนายเฉลิมชัยจริงตามสัญญาเลขที่ ๒/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ส่วนกรณีที่สัญญาฉบับดังกล่าวขาดข้อตกลงเกี่ยวกับหลักประกันไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์ตามที่คณะกรรมการดำเนินการมีมติให้ใช้ที่ดินหลักประกันเดิมของนายเฉลิมชัยมาเป็นหลักประกันในการซื้อขายครั้งนี้
รวมทั้งหลักประกันของธนาคารตามระเบียบ เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการสหกรณ์ที่จะเรียกให้ลูกหนี้จัดหาหลักประกันให้ แต่กลับให้ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้อันเป็นการทำสัญญาที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ช่วงเกิดเหตุที่มีการทำสัญญาฉบับดังกล่าวผู้จัดการยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าโจทก์ร่วมกับผู้จัดการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าข้อบกพร่องในการทำสัญญาเลขที่
๒/๒๕๕๖ ตลอดถึงการใช้สิทธิติดตามดำเนินคดีตามสัญญาเกิดจากการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ
ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ อย่างไรก็ตามโจทก์นำสืบยอมรับว่าได้ร่วมจัดทำเอกสารใบเบิกเงินและใบรับสินค้าของนายสองเมือง และใบเสร็จรับเงินขายสินค้า เพื่อปรับปรุงบัญชี การที่โจทก์ร่วมจัดทำเอกสาร
ที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงดังกล่าวเป็นการร่วมกันไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและฝ่าฝืน พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖๕ การกระทำของโจทก์เป็นการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุ
ให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นการผิดวินัยร้ายแรงตามระเบียบจำเลย ว่าด้วย วินัย การสอบสวน
และการลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ฯ พ.ศ. ๒๕๔๖ ดังนั้น การที่จำเลยมีคำสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๙
ลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ไล่โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามระเบียบจำเลย ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๓๔ สำหรับเงินสะสมที่จำเลยหักจากเงินเดือนของโจทก์เป็นเงิน ๖๕๕,๘๘๖.๙๓ บาท ไม่ปรากฏว่ามีระเบียบข้อบังคับใดให้ใช้เป็นหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงาน จึงไม่มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครอบครองนั้นในอันที่จำเลยจะใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ได้ เมื่อโจทก์ออกจากงานจำเลยต้องคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๖๐๔ ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน นั้น มิใช่ทรัพย์สินที่นายจ้างจะเรียกหรือรับเป็นหลักประกันได้ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหาย
ในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๙ การที่โจทก์ (ที่ถูก จำเลย) เรียกหรือรับที่ดินแปลงดังกล่าว
มาเป็นหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานของโจทก์จึงไม่ชอบ จำเลย
จึงต้องคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันในการทำงานให้แก่โจทก์ จำเลยจึงต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่โจทก์

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ ๓.๓ และข้อ ๔.๓ ไปในคราวเดียวกันว่าจำเลยต้องจ่ายเงินบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามระเบียบจำเลย ว่าด้วยเจ้าหน้าที่
และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๖๙ (๔) กำหนดว่า การจ้างงานสิ้นสุดลงด้วยเหตุอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ และศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์ทำงานถึงวันครบเกษียณอายุ
วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ดังนั้น สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงสิ้นสุดลงโดยโจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย จำเลย
จึงไม่อาจใช้สิทธิเพิกถอนการสิ้นสุดของสัญญาจ้างด้วยเหตุเกษียณอายุได้ ทั้งยังไม่ปรากฏว่าจำเลย
มีระเบียบหรือข้อบังคับที่ให้สิทธิจำเลยที่จะเลิกจ้างลูกจ้างโดยให้มีผลย้อนหลังได้ ฉะนั้น แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะตรวจสอบพบว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงตามระเบียบจำเลย ว่าด้วย วินัย การสอบสวน
และการลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ฯ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยก็จะยกอ้างเหตุดังกล่าวมาเป็นเหตุ
เลิกจ้างโจทก์อีกครั้งหาได้ไม่ เพราะความสัมพันธ์กันในฐานะนายจ้างและลูกจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลย
ได้สิ้นสุดไปก่อนหน้าแล้ว การที่จำเลยมีคำสั่งที่ ๑๔/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๙ ไล่โจทก์ออก โดยให้มีผลย้อนไปตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ จึงหามีผลตามกฎหมายไม่ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินบำเหน็จนั้นไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ จึงย่อมต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับที่จำเลยกำหนดไว้
ซึ่งตามระเบียบจำเลย ว่าด้วยเจ้าหน้าที่และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดเรื่องการจ่ายเงินบำเหน็จไว้ในหมวดที่ ๙ ข้อ ๓๔ ว่า เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์คนใดทำงานในสหกรณ์นี้ด้วยความเรียบร้อยเป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเมื่อออกจากตำแหน่ง เว้นแต่การออกเพราะถูกลงโทษ ไล่ออกหรือเลิกจ้างและมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยแล้ว โดยมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน แสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินบำเหน็จของจำเลยเพื่อตอบแทนลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไปโดยต้องทำงาน
ด้วยความเรียบร้อยด้วย แม้โจทก์จะทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปีก็ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการได้ร่วมจัดทำเอกสารใบเบิกเงิน ใบรับสินค้าและใบเสร็จรับเงินขายสินค้า เพื่อปรับปรุงบัญชีโดยไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการทำผิดวินัยร้ายแรงตามระเบียบจำเลย ว่าด้วย วินัย การสอบสวนและการลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ฯ
พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๗ (๕) และ (๘) และแม้ว่าโจทก์จะพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างไปด้วยเหตุเกษียณอายุก่อน
ที่จำเลยจะมีคำสั่งไล่โจทก์ออก เนื่องจากกระทำผิดดังกล่าวก็ตาม แต่พฤติกรรมของโจทก์ที่กระทำการดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ทำงานด้วยความเรียบร้อยอันจะทำให้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
ตามระเบียบของจำเลยดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ที่ศาลแรงงานภาค ๕ วินิจฉัยมานั้น
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า จำเลยต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองแล้วส่งมอบโฉนดที่ดินที่เป็นหลักประกันคืนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๖๐๔ ตำบลตาลชุม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เพื่อเป็นหลักประกันการทำงาน
ของโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว
มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ก็ตาม แต่ประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเรียกหรือรับหลักประการการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๕ หลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงาน
มีสามประเภทได้แก่ (๑) เงินสด (๒) ทรัพย์สิน (๓) การค้ำประกันด้วยบุคคล ข้อ ๙ ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันเป็นทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่เรียกหรือรับเป็นหลักประกันได้ ได้แก่ทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ (๑) สมุดเงินฝากประจำธนาคาร (๒) หนังสือค้ำประกันของธนาคาร และข้อ ๑๒ ในกรณีที่นายจ้างได้เรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างเป็นทรัพย์สินหรือให้บุคคลค้ำประกัน ซึ่งลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามข้อ ๔ แต่มิใช่ทรัพย์สินตามข้อ ๙ หรือมีจำนวนมูลค่าของหลักประกันเกินจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ อยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
ให้นายจ้างดำเนินการให้มีหลักประกัน ไม่เกินจำนวนมูลค่าของหลักประกันตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ แสดงให้เห็นว่าเมื่อประกาศฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว และโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยจัดการสหกรณ์ ซึ่งเป็นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามข้อ ๔ แต่ทรัพย์สินที่โจทก์นำมาเป็นหลักประกันไม่ใช่ทรัพย์สินตามข้อ ๙ จำเลยจึงต้องดำเนินการเปลี่ยนหลักประกันให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้างต้น เนื่องจากประกาศฉบับนี้ออกโดยอาศัยอำนาจ
ตามมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากมีการดำเนินการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว การนั้นย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ภายหลังจากที่ประกาศใช้บังคับ จำเลยไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนหลักประกันจากที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวไปเป็นหลักประกันตามที่กำหนดไว้
ในข้อ ๙ จึงเท่ากับว่าจำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงแรงงาน
ฉบับดังกล่าว ดังนั้น ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่นายจ้างจะเรียกหรือรับเป็นหลักประกัน
การทำงานได้อีกต่อไป จำเลยจึงต้องคืนทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันการทำงานแก่โจทก์
ที่ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและส่งมอบโฉนดที่ดินที่นำมาเป็นหลักประกันการทำงานแก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้
ฟังไม่ขึ้น

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยต้องคืนเงินสะสมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยตกลงยินยอมให้จำเลยหักเงินเดือนอัตราร้อยละ ๕
ทุกเดือน เพื่อเก็บเป็นเงินสะสม และจะคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากตำแหน่ง ดังนั้น เงินสะสมดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องคืนเงินสะสมแก่โจทก์ แม้จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและจำเลยมอบหมายให้พนักงานอัยการจังหวัดน่านดำเนินคดีในส่วนแพ่ง
แก่โจทก์แล้วก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวไม่ถือว่ามีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้น
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๔๑ จำเลย จึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงเงินสะสมของโจทก์ได้ ที่ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

         พิพากษายืน.

(วิชชุพล  สุขสวัสดิ์ – สุจินต์  เชี่ยวชาญศิลป์ – เกื้อ วุฒิปวัฒน์)

พรรณทิพย์  วัฒนกิจการ – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ