คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 7065/2562
นายพลอย ชื่นชม โจทก์
บริษัทเกรท เซอร์เคิล ชิปปิ้ง เอเยนซี่ จำกัด จำเลย
พ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 มาตรา 18, 44 วรรคสอง
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49
โจทก์ทําสัญญาจ้างงานกับจําเลยตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ อย่างต่อเนื่องรวม ๑8 ฉบับ แม้สัญญา บางช่วงจะมีระยะห่างตั้งแต่ ๓ เดือนจนถึงกว่า ๑ ปีก็ตาม แต่โจทก์ยังคงทําสัญญาจ้างงานกับจําเลย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ถึงปี ๒๕๖๐ อันเป็นระยะเวลามากกว่า ๒๐ ปี ระยะเวลาการทํางานของโจทก์
จึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสัญญาจ้างงานมีข้อความระบุว่า โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา จ้างงานนี้โดยมีคําบอกกล่าวเป็นหนังสือ ๒ เดือน และจําเลยจะพยายามปลดเปลื้องโจทก์
จากภาระหน้าที่ภายใน ๒ เดือนนับจากได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้น หมายความว่า ระหว่างที่สัญญา มีผลบังคับ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ซึ่งไม่แน่นอนว่าโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเมื่อใด จึงเป็น
การจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ทั้งโจทก์ยังทํางานเช่นเดิมโดยปฏิบัติหน้าที่เป็นนายท้ายเรือ ปฏิบัติงาน ณ เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ กรณีจึงมิใช่การจ้างงานโดยเฉพาะเจาะจง ที่จําเลย อ้างว่า โจทก์ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากจําเลยตามที่เจ้าของเรือกําหนดและตรวจสุขภาพ ก่อนจึงจะทํางานบนเรือได้นั้น ก็เป็นขั้นตอนและกระบวนการรับสมัครแรงงานทางทะเลโดยทั่วไป และเป็นหน้าที่ของจําเลยที่ต้องกระทําตามพ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑๘ อยู่แล้ว จึงฟังได้ว่าสัญญาจ้างงานระหว่างโจทก์กับจําเลยเป็นสัญญาจ้างงานที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าสามสิบวันพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด ตามพ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕8 มาตรา ๔๔ วรรคสอง เมื่อจําเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อครบกําหนดระยะเวลาตามข้อตกลงจึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๗,๒๕๘ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๔๖๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
ของต้นเงินแต่ละจำนวน กับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๒๓๔,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าว ทั้งนี้ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๗,๓๕๘ บาท
และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒๓๔,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๓๗ จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่ง
นายท้ายเรือ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๓,๔๕๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๕ ของเดือน
เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นวันสุดท้าย และวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เข้าทำงานเป็นนายท้ายเรือ ปฏิบัติงาน ณ เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อันมีลักษณะและสภาพของงานที่มีลักษณะเฉพาะ แม้โจทก์จะเข้าทำงานกับจำเลยตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ แต่ก็มีการทำสัญญากับจำเลยอย่างต่อเนื่องรวม ๑๘ ฉบับ ระยะเวลาการทำงานของโจทก์จึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหลังจากโจทก์ทำงานครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างแล้ว จะต้องมีระยะเวลาพักโดยเว้นช่วงระหว่างระยะเวลา
การทำงานอย่างน้อย ๒ เดือน จึงเห็นได้ว่าสัญญาจ้างแรงงานเพื่อทำงานทางทะเล โดยสภาพแล้วลูกจ้างต้องใช้ชีวิตอยู่บนเรือตลอดระยะเวลาของสัญญา และเมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้างแล้วจึงต้องพักผ่อนก่อนเริ่มทำงานใหม่ แม้ระหว่างระยะเวลาดังกล่าว จำเลยจะไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าระยะเวลาการทำงานของโจทก์ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์โดยระบุช่วงเวลาไว้ก็เป็นเรื่องที่จำเลยส่งโจทก์ไปทำงานเป็นคนประจำเรือในเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จึงมิใช่กรณี
งานที่ทำตามสัญญาจ้างสิ้นสุดลง ถือได้ว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา อย่างไรก็ตามเมื่อขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นวันที่พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลใช้บังคับแล้ว แม้โจทก์จะทำงานกับจำเลยตั้งแต่
ปี ๒๕๓๗ แต่เมื่อการทำงานของโจทก์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มาตรา ๔
วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่าการจ้างงานระหว่างเจ้าของเรือกับคนประจำเรือตามพระราชบัญญัตินี้ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง (๕) ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔ มิได้บัญญัติยกเว้นสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไว้แต่อย่างใด เมื่อจำเลยโดย ศ. ผู้จัดการทั่วไปของจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์
เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ จึงเป็นกรณีที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒
โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน ๒๗,๓๕๘ บาท และเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำผิดใด ๆ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เมื่อคำนึงถึงระยะเวลา
การทำงาน อายุของโจทก์ ประกอบกับโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยแล้ว เห็นสมควรให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เป็นเงิน ๒๓๔,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ
๗.๕ ต่อปีของต้นเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าโจทก์
ทำสัญญาจ้างงานกับจำเลยตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ โดยมีการทำสัญญากับจำเลยอย่างต่อเนื่องรวม ๑๘ ฉบับ แม้สัญญาจ้างงานบางช่วง จะมีระยะห่างของสัญญาตั้งแต่ ๓ เดือน จนถึงกว่า ๑ ปีก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ยังคงทำสัญญาจ้างแรงงานกับจำเลยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ จนถึงปี ๒๕๖๐ อันเป็นระยะเวลามากกว่า ๒๐ ปี ระยะเวลาการทำงานของโจทก์จึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ
สัญญาจ้างงานระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อความระบุว่า โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างงานนี้โดยมี คำบอกกล่าวเป็นหนังสือ ๒ เดือน และจำเลยจะพยายามปลดเปลื้องโจทก์จากภาระหน้าที่ภายใน ๒ เดือนนับจากได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้น หมายความว่า ระหว่างที่สัญญามีผลใช้บังคับ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างงานได้ซึ่งไม่แน่นอนว่าโจทก์จะบอกเลิกสัญญาจ้างงานเมื่อใด จึงเป็นการจ้างงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ที่จำเลยอ้างว่าจ้างงานโจทก์โดยเฉพาะเจาะจงเนื่องจากโจทก์ทำงานบนเรือแต่ละลำที่ไม่ซ้ำกันและถูกระบุอยู่ในสัญญาจ้างงานโจทก์แต่ละฉบับนั้น ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าโจทก์ยังคงทำงานเช่นเดิม
โดยปฏิบัติหน้าที่เป็นนายท้ายเรือ ปฏิบัติงาน ณ เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ กรณีจึงมิใช่เป็นการจ้างงานโดยเฉพาะเจาะจง และที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากจำเลยตามที่เจ้าของเรือกำหนดและตรวจสุขภาพก่อนจึงจะได้ทำงานบนเรือนั้น ก็เป็นขั้นตอนและกระบวนการรับสมัครแรงงาน
ทางทะเลโดยทั่วไป ทั้งจำเลยยังมีหน้าที่ตามที่เจ้าของเรือกำหนดให้ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ของคน
ประจำเรือว่ามีความพร้อมด้านสุขภาพในการทำงานบนเรืออยู่แล้วตามพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑๘ ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่อาจรับฟังได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า สัญญาจ้างงานระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าว
ล่วงหน้า โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าสามสิบวัน เป็นเงิน ๒๓,๔๕๐ บาท
ตามพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔๔ วรรคสอง พร้อมดอกเบี้ยผิดนัด จำเลย
เลิกจ้างโจทก์เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามข้อตกลงในสัญญาจ้างงานตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นนับได้ว่า เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยบางส่วน อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๓,๔๕๐ บาท และไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
(วัฒนา สุขประดิษฐ์ - อนันต์ คงบริรักษ์ - สุวรรณา แก้วบุตตา)
ฐานุตร เล็กสุภาพ - ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ