คําพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษที่ 6372/2562 

นายเจมส์  แอนโทนี่  แลนดี้              โจทก์ 

กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ เอไอเอมาสเตอร์พูล ซึ่งจดทะเบียนแล้ว กับพวก                                  จําเลย 

ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง

ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) 

พ.ร.บ. กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา 7, ๑๓, ๒๓ 

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕7 

         เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้กระทําผิดตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับของจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๑ โดยจําเลยที่ ๒ ผู้จัดการกองทุนจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ
ให้แก่โจทก์ ไม่ว่ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพหรือผู้จัดการกองทุนจะได้ส่งเงินและผลประโยชน์คืนให้แก่จําเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายจ้าง
 

        จําเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจําเลยที่ ๓ จําเลยที่ ๓ จึงไม่มีอํานาจและหน้าที่
ในการจัดการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพจําเลยที่ ๑ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้องให้จําเลยที่ ๓ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจากกองทุนสํารองเลี้ยงชีพจําเลยที่ ๑ ซึ่งจดทะเบียนแล้วได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่อํานาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
 

        ข้อบังคับของจําเลยที่ ๑ ระบุว่า กองทุนโดยบริษัทจัดการจะจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบทั้งหมดครั้งเดียวแก่สมาชิกภายในเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ จําเลยที่ ๑ โดยจําเลยที่ ๒ จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่โจทก์ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชําระหนี้จํานวนนี้ จําเลยที่ ๑ จึงยังไม่หลุดพ้นจากหนี้นั้น การที่จําเลยที่ ๑ ไม่จ่ายเงินจํานวนดังกล่าวภายในกําหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕8 เป็นต้นไปจนกว่า
จะชําระเสร็จแก่โจทก์ 

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๑,๑๘๖,๕๑๑.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑,๐๐๖,๗๗๔.๙๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         จำเลยที่ ๓ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ชำระเงิน ๑,๐๐๖,๗๗๔.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑) ต้องไม่เกิน ๑๗๙,๗๓๗ บาท ตามที่โจทก์ขอ ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒

         โจทก์และจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตาม พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและเป็นบริษัทจัดการกองทุนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓
เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด เดิมใช้ชื่อว่า บริษัทเอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ และเป็นสมาชิกของจำเลยที่ ๑ จนสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่อวันที่
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เนื่องจากถูกจำเลยที่ ๓ เลิกจ้างโดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดอย่างร้ายแรง
จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้จ่ายเงินสะสมที่โจทก์จ่ายเข้ากองทุนและผลประโยชน์ของเงินสะสมคืน
แก่โจทก์แล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ ว่า โจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกเลิกจ้าง ศาลแรงงานกลาง
มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๕๑/๒๕๖๐ ให้จำเลยที่ ๓ จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ออกใบสำคัญการทำงานแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง คดีถึงที่สุด จำเลยที่ ๓ ได้นำเงินที่ต้องชำระ
ตามคำพิพากษาดังกล่าวชำระแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ได้ชำระเงินสมทบส่วนของนายจ้าง
และผลประโยชน์ของเงินสมทบแก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสามแล้ว จำเลยที่ ๑
และที่ ๒ ปฏิเสธอ้างว่าได้จ่ายเงินสมทบส่วนของนายจ้างและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้จำเลยที่ ๓ ไปแล้ว

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต้องรับผิดชำระเงินสมทบส่วนของนายจ้างและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลแรงงานกลาง
ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ได้กระทำผิดอย่างร้ายแรง
ต่อนายจ้าง โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๓ ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกเลิกจ้าง ศาลแรงงานกลาง
ในคดีหมายเลขดำที่ ๔๒๙/๒๕๕๙ หมายเลขแดงที่ ๔๕๑/๒๕๖๐ พิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ชำระค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์  จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ออกใบสำคัญ
การทำงานแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง คดีถึงที่สุด ข้อเท็จจริง
จึงยุติตามคำพิพากษาดังกล่าวว่า โจทก์ไม่ได้กระทำผิดอย่างร้ายแรงตามที่ถูกจำเลยที่ ๓ เลิกจ้าง
เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้าง จึงเป็นการสิ้นสมาชิกภาพแล้ว โดยไม่ได้กระทำผิดตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับ
ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ผู้จัดการกองทุนจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ
และผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่โจทก์ ไม่ว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือผู้จัดการกองทุนจะได้ส่งเงินและผลประโยชน์คืนให้แก่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายจ้างไปแล้วหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย
ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ มีว่า จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดชำระเงินสมทบ
และผลประโยชน์ของเงินสมทบแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางหรือไม่ ก่อนอื่นเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ หรือไม่ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๗ บัญญัติให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้จดทะเบียนแล้วให้เป็นนิติบุคคล มาตรา ๑๓ บัญญัติให้บุคคลซึ่งมิใช่นายจ้างเป็นผู้ดำเนินการในการจัดการกองทุน และมาตรา ๒๓ บัญญัติให้
เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้าง คดีนี้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้วคือจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก
จากจำเลยที่ ๓ ที่เป็นนายจ้าง จำเลยที่ ๓ จึงไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๓ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ
จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ ๑ ซึ่งจดทะเบียนแล้วได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
แต่อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ ดังนั้นปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

         อนึ่ง ส่วนที่โจทก์ขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ นั้น เห็นว่า ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เอไอเอมาสเตอร์พูล ซึ่งจดทะเบียนแล้ว หมวด ๙ ข้อ ๙.๕ ระบุว่า กองทุนโดยบริษัทจัดการจะจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบทั้งหมดครั้งเดียวแก่สมาชิกภายในเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ ทั้งตามคำฟ้องโจทก์และหนังสือแจ้งการสิ้นสุดสมาชิกภาพระบุว่า วันสิ้นสุดสมาชิกภาพ คือ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ (ทั้งนี้ หมายถึง วันแรกที่พ้นสภาพการเป็นพนักงาน) ดังนั้น จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ และผลประโยชน์
ของเงินสมทบให้แก่โจทก์ ๑,๐๐๖,๗๗๔.๙๐ บาท ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่ข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้จำนวนนี้ จำเลยที่ ๑ จึงยังไม่หลุดพ้นจากหนี้นั้น เงินจำนวน ๑,๐๐๖,๗๗๔.๙๐ บาท เป็นหนี้เงินที่จำเลยที่ ๑ จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์
การที่จำเลยที่ ๑ ไม่จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันสิ้นสุดสมาชิกภาพ จำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑,๐๐๖,๗๗๔.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โดยให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวจากกองทุนจำเลยที่ ๑ แก่โจทก์
ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓.

(พิเชฏฐ์  รื่นเจริญ – โสภณ  พรหมสุวรรณ – ศราวุธ  ภาณุธรรมชัย)

กรรณิกา อัศวเมธา - ย่อ 

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ