คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 395/2565 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นายราชิก สุไมรยา จำเลย
พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕60 มาตรา 82, 189
พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 82 มุ่งประสงค์ลงโทษผู้กระทำความผิด
ที่มีแสตมป์สรรพสามิตปลอมไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือจำหน่าย หรือเพื่อนำออกใช้ โดยรู้ว่า
เป็นแสตมป์สรรพสามิตปลอมโดยตรงเท่านั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลย
มีไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือจำหน่าย หรือเพื่อนำออกใช้ และใช้แสตมป์สรรพสามิตปลอม
โดยรู้ว่าเป็นแสตมป์สรรพสามิตปลอม โดยแสตมป์สรรพสามิตปลอมดังกล่าวถูกปิดอยู่บนขวดสุราต่างประเทศของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายอยู่แล้ว การมีไว้
ในครอบครองและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายสุราต่างประเทศของกลางแต่ละขวดแม้จะมีแสตมป์สรรพสามิตปลอมติดอยู่ด้วยก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะมีแสตมป์สรรพสามิตปลอมดวงนั้น ๆ
ไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือจำหน่ายหรือเพื่อนำออกใช้ตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว
_____________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔, ๘๒, ๑๕๒, ๑๘๙, ๒๐๓, ๒๐๔ และ ๒๐๗ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔, ๑๐๘, ๑๑๐ และ ๑๑๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓, ๙๑ ริบของกลางทั้งหมดเป็นของกรมสรรพสามิต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด
ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๑๐ (๑) ประกอบมาตรา ๑๐8 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 189 ประกอบมาตรา 82, 203 (1), 204 (1)
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต
และมีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิตเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต
อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับ 699,830.70 บาท ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งแสตมป์สรรพสามิตปลอมเพื่อนำออกใช้โดยรู้อยู่ว่าเป็นแสตมป์สรรพสามิตปลอม ให้ปรับ 30,000 บาท ฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม ให้จำคุก 2 เดือน รวมโทษทุกกระทงความผิดเป็นจำคุก 2 เดือน และปรับ 729,830.70 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือนและปรับ 364,915.35 บาท ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลางทั้งหมดให้ตกเป็นของกรมสรรพสามิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ปัญหาที่ควรต้องหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเสียก่อนมีว่า การกระทำของจำเลย
เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 189 ประกอบมาตรา 82 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 82 มุ่งประสงค์ลงโทษผู้กระทำความผิดที่มีแสตมป์สรรพสามิตปลอมไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือจำหน่าย หรือเพื่อนำออกใช้ โดยรู้ว่าเป็นแสตมป์สรรพสามิตปลอมโดยตรงเท่านั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยมีไว้ในครอบครอง
เพื่อขายหรือจำหน่าย หรือเพื่อนำออกใช้ และใช้แสตมป์สรรพสามิตปลอม โดยรู้ว่าเป็นแสตมป์สรรพสามิตปลอม รวม 367 ดวง โดยแสตมป์สรรพสามิตปลอมดังกล่าวถูกปิดอยู่บนขวดสุราต่างประเทศของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายอยู่แล้ว ซึ่งการมีไว้
ในครอบครองและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายสุราต่างประเทศของกลางแต่ละขวด แม้จะมีแสตมป์สรรพสามิตปลอมติดอยู่ด้วย ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะมีแสตมป์สรรพสามิตปลอมดวงนั้น ๆ
ไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือจำหน่าย หรือเพื่อนำออกใช้ตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิด
และลงโทษจำเลยในฐานนี้ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้ได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงประการเดียวว่า มีเหตุที่จะลงโทษจำเลย
ในสถานเบาและรอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำต่อสินค้า
ซึ่งใช้บริโภค โดยมุ่งหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงว่าการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลกระทบ
หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่สุขอนามัยของประชาชนซึ่งนำสินค้าดังกล่าวไปบริโภคเพียงใด และยังทำให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงได้รับความเสียหายต่อซื่อเสียง
และความน่าเชื่อถือในเครื่องหมายการค้า เนื่องจากอาจทำให้ผู้บริโภคซึ่งซื้อสินค้าไปจากจำเลยแต่ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพแตกต่างไปจากคุณภาพของสินค้าของผู้เสียหายกลับหลงเข้าใจผิดไปว่าสินค้า
ของผู้เสียหายที่ตนเคยเชื่อถือในคุณภาพเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพเหมือนเช่นเดิมและขาดความไว้วางใจในมาตรฐานของสินค้าซึ่งย่อมมีผลให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียรายได้และผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้
จากการจำหน่ายสินค้าของตนตามปกติได้ นอกจากนี้ การกระทำของจำเลยยังมีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐอันมาจากการจัดเก็บภาษีสินค้าสุราอีกด้วย ทั้งสินค้าของกลางที่ยึดได้จากจำเลยมีจำนวนถึง ๓๖๗ ขวด ซึ่งนับว่าเป็นสินค้าที่มีจำนวนมากพอสมควร เมื่อพิจารณาถึงโทษที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดมานั้น สำหรับโทษในความผิดต่อพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็ลงโทษจำเลย
เพียงโทษปรับขั้นต่ำโดยไม่ได้กำหนดโทษจำคุกมาด้วย มีเฉพาะแต่เพียงความผิดต่อพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
กำหนดโทษจำคุกไว้เท่านั้นโดยไม่ได้ลงโทษปรับ แต่ได้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนเพียง
เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบเท่านั้น โดยมิให้จำเลยต้องมีประวัติว่าได้รับโทษจำคุกอันจะส่งผลต่อตัวจำเลย
ในภายหน้าหากไปกระทำความผิดขึ้นอีก อันเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่เป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยมีภาระทางครอบครัวโดยต้องเลี้ยงดูบิดามารดาวัยชรา บุตร และภริยา ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดในลักษณะนี้มาก่อน กรณีจึงนับว่า
มีเหตุอันควรปรานีด้วยการกำหนดโทษจำคุกเฉพาะความผิดต่อพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า
พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๑๐ (๑) ประกอบมาตรา ๑๐8 เสียใหม่ให้ต่ำลง และเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นให้กักขังแทนเช่นเดิมตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง อุทธรณ์
ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๑๑๐ (๑) ประกอบมาตรา ๑๐8 ให้จำคุก ๑ เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก ๑๕ วัน
เมื่อรวมกับโทษปรับในความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 203 (1)
และ 204 (1) แล้ว คงจำคุก ๑๕ วัน และปรับ ๓๔๙,๙๑๕.๓๕ บาท ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน
มีกำหนด ๑๕ วัน ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 189 ประกอบมาตรา 82 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า
ระหว่างประเทศกลาง.
(วิวัฒน์ วงศกิตติรักษ์ – ธารทิพย์ จงจักรพันธ์ – สุวิทย์ รัตนสุคนธ์)
ธนวรรณ นราวิริยะกุล - ย่อ
นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ